ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 516-518
บทที่ 516 อาจด้วยประสงค์แห่งฟ้า
เฉินอิ๋งนึกสงสัย “คำพูดนี้หมายความเช่นไร”
เผยซู่ก้มหน้าลงช้าๆ สายตาจับจ้องอยู่บนร่างของเฉียนเทียนเจี้ยง น้ำเสียงกลับกลายเป็นเคร่งขรึม “เฉียนเทียนเจี้ยงบังเอิญตายไปเช่นนี้ เบาะแสสุดท้ายของข้าย่อมเท่ากับขาดหาย ด้วยเหตุนี้ข้าจึงรู้สึกเป็นทุกข์ แต่หากพิจารณาในอีกมุมหนึ่ง ในเมื่อเขาตายไปเพราะอุบัติเหตุ นั่นก็หมายความว่าในจวนของข้าสะอาดสะอ้าน ไม่มีคนร้ายปลอมปนเข้ามา เมื่อคิดเช่นนี้ข้าย่อมรู้สึกยินดี”
เฉินอิ๋งเข้าใจความรู้สึกของเขาได้ดี ทว่าบทสรุปเช่นนี้ สำหรับในยามนี้ยังนับว่าเร็วเกินไป
“งานชันสูตรศพเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการสืบคดีเท่านั้น หาใช่ทั้งหมดไม่” เฉินอิ๋งวางผ้าปิดปากลง หยิบเอาแท่งถ่านกับกระดาษออกมาจดบันทึกผลการชันสูตรพลางกล่าวว่า “ไว้ตรวจสถานที่เกิดเหตุ ซักถามพยาน เทียบคำให้การทั้งหมดเรียบร้อยก่อน พวกเราถึงจะพอเข้าใจภาพเหตุการณ์โดยรวมของคดี สามารถสรุปข้อสันนิษฐานเบื้องต้นได้”
พอพูดถึงตรงนี้นางก็ยกเท้าเดินไปอีกด้าน ชี้ห่อผ้าที่วางอยู่ข้างไม้กระดานรองศพพร้อมถาม “ในนี้คือเสื้อผ้าของผู้ตาย?”
ห่อผ้านั่นก่อนหน้านี้ถูกผ้าคลุมศพปิดทับไว้ นางเพิ่งสังเกตเห็นตอนชันสูตรศพ
เผยซู่ตะลึงไปชั่วขณะ เขารีบพยักหน้ากล่าว “ใช่ นี่คือเสื้อผ้าที่เหล่าเฉียนสวมใส่ตอนตาย ข้าเก็บรวบรวมมันด้วยมือของข้าเอง แม้แต่รองเท้าถุงเท้าก็ล้วนอยู่ด้านใน”
เขาเดินไปหยุดอยู่ข้างเฉินอิ๋ง ยื่นมือที่สวมถุงมือแบบเดียวกันกับนางออกมาปลดปมถุงผ้าออกด้วยท่าทีคล่องแคล่ว น้ำเสียงคล้ายรวดเร็วขึ้นหลายส่วน “ข้าเดาว่าข้าวของเหล่านี้อาจเป็นประโยชน์กับเจ้า เลยเอามันมาวางไว้ข้างศพ ไม่ให้ผู้ใดแตะต้อง”
เพราะเขามักอยู่ข้างกายเฉินอิ๋งตอนสืบคดีอยู่บ่อยครั้ง จึงรู้ดีถึงความคุ้นชินของนาง สิ่งต่างๆ ที่เขาทำไปล้วนเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้นางก็เท่านั้น
ยามนี้เห็นได้ชัดว่าเขาเหมาะจะทำงานเป็นผู้ช่วยแล้วจริงๆ
เฉินอิ๋งมิได้พูดอันใด ทำเพียงเพ่งพินิจข้าวของในห่อผ้านั้น
เสื้อคลุมสีฟ้าเทา เสื้อตัวกลางสีขาว กางเกงสีครามเข้ม รองเท้าหุ้มข้อยาวสีดำกับถุงเท้าหนาๆ อีกคู่หนึ่ง นอกจากนี้บนตัวผู้ตายยังมีอาภรณ์ตัวในอีกชิ้น เมื่อครู่เฉินอิ๋งได้ตรวจสอบดูแล้ว ยามนี้จึงไม่เอามาพิจารณาร่วมด้วย
หลังจากนั้นเฉินอิ๋งก็ใช้ตะเกียบเหล็กคีบเสื้อคลุมตัวนั้นพลิกไปพลิกมาสองสามรอบ ก่อนจะเปลี่ยนไปที่เสื้อตัวกลางสีขาว ทันใดนั้นนางก็ร้อง “เอ๋?” ออกมาคำหนึ่ง
“มีอะไรกระนั้นหรือ” เผยซู่ตื่นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ดวงตาเบิกกว้าง
เฉินอิ๋งใช้ตะเกียบเหล็กคีบเสื้อตัวกลางนั้นขึ้น ชี้ไปยังบริเวณคอปกกับช่วงเอว พูดเสียงแผ่วว่า “ท่านดู ด้านบนนี้เหมือนจะมีร่องรอยสีฟ้า เกิดจากสีย้อมบนเสื้อคลุมนั่นตกใส่ใช่หรือไม่”
เพราะเสื้อตัวกลางตัวนั้นเป็นสีขาว ทำให้คราบสีฟ้าสองสามจุดนั้นปรากฏชัด ยากเกินกว่าจะบอกว่ามองไม่เห็น
“ที่แท้ก็เรื่องนี้ ข้าก็คิดว่ามีอันใดผิดปกติเสียอีก” เผยซู่ยิ้มด้วยสีหน้าผ่อนคลาย “เมื่อคืนฝนตก เสื้อผ้าเปียกน้ำสีย่อมตก”
ทักษะย้อมสีให้ติดทนของผู้คนในยุคโบราณไม่สู้ดีนัก เสื้อผ้าใหม่สีตกจัดเป็นเรื่องปกติธรรมดา
ทว่าพอได้ยินเผยซู่กล่าวเช่นนั้น สีหน้าของเฉินอิ๋งก็กลับกลายเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
หัวคิ้วของนางขมวดเข้าหากันน้อยๆ แต่ถึงกระนั้นเฉินอิ๋งก็มิได้พูดอันใด ทำเพียงครุ่นคิดพิจารณาเสื้อตัวกลางนั้นไปมาอยู่เป็นนาน ไม่พูดไม่จาอันใด
“มีปัญหากระนั้นหรือ” เผยซู่อดถามออกมาไม่ได้ เขาสังเกตสีหน้าของนางโดยละเอียด ความหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้ารางๆ
หากมีปัญหา นั่นก็แปลว่าคดีนี้ย่อมมิใช่อุบัติเหตุ เป็นไปได้ว่าอาจเป็นคดีฆาตกรรม ขอเพียงหาตัวคนร้ายรายนั้นพบ เบาะแสที่ขาดหายไปเส้นนี้ย่อมได้รับการเชื่อมต่อกลับมาอีกครั้ง
ลึกลงไปในใจของเผยซู่ เขาหวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ นี่แทบจะเป็นความหวังเดียวในการล้างแค้นให้บิดาและพี่ชายของเขา เขาไม่อยากยอมแพ้มันง่ายๆ
“ตอนนี้ยังพูดยาก คงต้องดูกันต่อไปก่อน” เฉินอิ๋งเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มตามปกติของนาง คำตอบยังคงไม่มีอันใดแน่ชัด
เผยซู่ส่งเสียง “อา” ออกมาคำหนึ่ง ขยับคอสองสามครา สุดท้ายก็ไม่ถามอะไรอีก
ช่างเถอะ เรื่องเค้นสมองพวกนี้หาใช่สิ่งที่เขาทำได้ไม่ แทนที่จะถามไม่จบไม่สิ้น มิสู้มอบหมายหน้าที่ทั้งหมดให้นาง นางว่าเช่นไรก็เช่นนั้น
ยามนี้เฉินอิ๋งหันไปที่รองเท้าถุงเท้า นางยังคงพลิกพิจารณามันอยู่เป็นนาน ก่อนจะจดบันทึกผลที่ได้ลงในสมุดบันทึก และเก็บตะเกียบเหล็กเข้าไปในถุงใส่เครื่องมือพลางกล่าว “งานที่นี่ยุติเพียงเท่านี้ก่อน พวกเราไปดูสถานที่เกิดเหตุกัน”
เผยซู่ย่อมไม่ปฏิเสธ เขาพานางก้าวเท้าออกจากห้องไป
จะว่าไปก็บังเอิญยิ่งนัก ทันทีที่พ้นออกจากประตู พวกเขาก็เจอหลางถิงอวี้เข้าพอดี
หลางถิงอวี้ศีรษะเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ สองมือถือกระถางดอกไม้ขนาดใหญ่ กำลังก้าวผ่านประตูลานเรือนเข้ามา
เมื่อขยับเข้าไปดูใกล้ๆ เฉินอิ๋งก็พบว่าในลานยามนี้มีกระถางดอกไม้วางอยู่สิบกว่ากระถาง เต็มไปด้วยสีแดงสีเขียวสดใสงดงามกว่าเมื่อครู่มากนัก
หลางถิงอวี้ทำงานละเอียดรอบคอบ กระถางดอกไม้เหล่านี้ได้รับการจัดวางอย่างเหมาะเจาะเหมาะสม จากบันไดไปจนถึงประตูลาน ไม่ต่างอันใดกับทหารสองแถวที่กำลังยืนรอตรวจพลอยู่
เฉินอิ๋งอดยิ้มไม่ได้ นางเอ่ยปากชื่นชมออกมาประโยคหนึ่ง “ดอกไม้พวกนี้งดงามมีชีวิตชีวายิ่งนัก”
พอได้ยินเช่นนั้นใบหน้าหม่นหมองอึมครึมของเผยซู่ก็กลับกลายเป็นสว่างไสวขึ้นมาทันที
หลางถิงอวี้ถอนหายใจโล่งอก ทว่าสีหน้ากลับยังคงตกประหวั่น เขาวางกระถางดอกไม้ลงใต้ชายคาระเบียงอย่างระมัดระวัง
ไม่เสียทีที่เขาเข็นรถบรรทุกกระถางดอกไม้มา อย่างน้อยนายท่านโหวของพวกเขาก็มิได้เดือดดาล
เพราะยังมีธุระต้องจัดการ เฉินอิ๋งจึงไม่มีเวลาชื่นชมดอกไม้อันใด นางทำเพียงกวาดตามองคราหนึ่ง หลังจากนั้นก็เดินจากไป
เผยซู่ตามนางไป ทิ้งหลางถิงอวี้ให้ยืนเกาหัวสับสนอยู่ในลาน
คนทั้งสองแค่พูดออกมาประโยคหนึ่ง หลังจากนั้นก็เดินจากไป ตกลงพวกเขาทั้งสองจะกลับมาหรือไม่
อีกอย่างดอกไม้พวกนี้จะให้เขาเก็บไปหรือว่าจะให้วางไว้ต่อ ล้วนไม่มีใครบอกอะไรเขาสักคำ
หลังจากเกาหัวอยู่เป็นนาน หลางถิงอวี้ก็ตัดสินใจวางกระถางดอกไม้เหล่านั้นไว้ก่อน
เขาดูออก ขอเพียงคุณหนูใหญ่เฉินชอบ นายท่านโหวของเขาย่อมชอบด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้เขามีหรือจะไม่รอดพ้นจากการถูกโบย
ดังนั้นแม่ทัพหลางของพวกเราจึงยังคงขะมักเขม้นย้ายกระถางดอกไม้ ต้องการเปลี่ยนลานเรือนทั้งหมดให้กลายเป็นสวนดอกไม้งดงาม
ในเวลาเดียวกัน เฉินอิ๋งกับเผยซู่ก็เลี้ยวมาอยู่บนเส้นทางเล็กๆ สายหนึ่งที่มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
“เฉียนเทียนเจี้ยงพำนักอยู่ในเรือนเพียงลำพัง เดิมข้าให้นายกองสองคนตามประกบเขาไว้ เพียงแต่บังเอิญทางเผิงไหลเกิดเรื่องขึ้นทำให้ต้องส่งกำลังพลไปเพิ่ม สองสามวันนี้คนที่ติดตามเขาจึงเป็นบ่าวจวนโหวสองคน พวกเขาไม่เชี่ยวชาญทักษะยุทธ์” เผยซู่เล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้เฉินอิ๋งฟัง หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน สีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่งยวด
การตายของเฉียนเทียนเจี้ยง เหตุผลใหญ่สุดอยู่ที่การดูแลที่ไม่ดีพอ
ทว่าเผยซู่เองก็มีใจแต่ไร้กำลัง
ปีก่อนตอนเข้าเมืองหลวงมา กองกำลังสกุลเผยที่ติดตามมาด้วยมีอยู่แค่ร้อยกว่าคนเท่านั้น กำลังพลเรียกได้ว่าไม่เพียงพอจริงๆ แต่เขาก็ไม่วายต้องยอมรับความจริงที่ว่านี่นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณใหญ่หลวงของฮ่องเต้หยวนจยาแล้ว หากเป็นขุนนางอย่างจงหย่งป๋อ ให้พวกเขานำกำลังพลมาด้วยแค่ยี่สิบสามสิบคนก็นับว่ามากเกินไปแล้ว
ขุนนางบู๊ที่มีกองกำลังทหารอยู่ในมือ ทำการใดล้วนต้องระมัดระวัง เผยซู่เข้าใจถึงข้อดีข้อเสียของเรื่องนี้ดี และนี่ก็เป็นสาเหตุของผลลัพธ์อย่างในเวลานี้
“บางทีนี่อาจเป็นประสงค์แห่งฟ้าก็เป็นได้” เผยซู่เอ่ยปากเสียงแผ่ว สีหน้าท่าทางกลัดกลุ้มอย่างเห็นได้ชัด “ปัญหาเรื่องกำลังพลไม่พอนี้ ข้าเองก็เหนื่อยหน่ายยิ่งนัก”
“เพราะเหตุใดอย่างนั้นหรือ” เฉินอิ๋งถามเขา
เผยซู่ยิ้มขื่นออกมาคราหนึ่ง “เฉียนเทียนเจี้ยงเป็นคนว่านอนสอนง่าย หากไม่มีความจำเป็น น้อยนักที่เขาจะออกจากที่พัก แม้แต่อาหารก็ยังให้คนเอาไปส่งให้กินถึงในห้อง ปกติวันๆ เขาเอาแต่ดื่มสุรา หนำซ้ำความสามารถในการดื่มสุราของเขาก็ใช้ว่าจะสูงส่งอันใด ดื่มได้ไม่ทันไรก็เมามายสิ้นแล้ว ปกติเขามักตื่นแล้วดื่มเมาแล้วหลับ ทุกวันล้วนเป็นเช่นนี้ ขนาดเดินทางจากเมืองหลวงมาซานตง เขาก็เอาแต่นอนอยู่ในรถม้า ไม่ยอมมองดูทัศนียภาพภายนอกอันใดแม้แต่น้อย”