ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 516-518
บทที่ 517 คนเก็บตัวยุคโบราณ
เมื่อเฉินอิ๋งได้ยินเผยซู่พูดเช่นนั้นก็นึกแปลกใจ นิสัยเช่นนี้ของเฉียนเทียนเจี้ยงออกจะพิลึกพิลั่นอยู่ไม่ใช่น้อย
หลังจากครุ่นคิดอยู่อีกครู่หนึ่ง นางก็เลิกคิด “เฉียนเทียนเจี้ยงอยู่คนเดียวลำพังกลางเขาลึกนานถึงสิบกว่าปี บางทีอาจไม่คุ้นชินกับการพบปะผู้คนแล้วก็เป็นได้”
“ไม่ผิดจากที่เจ้าว่า” เผยซู่กล่าว สีหน้าผิดหวังกลัดกลุ้มยังคงไม่จางหาย “จากรายงานของผู้ใต้บังคับบัญชาข้า วันทั้งวันเขาแทบไม่พูดไม่จาอันใดและไม่เคลื่อนไหวอะไรมากนัก ตอนแรกๆ พวกทหารองครักษ์มักคิดว่าเขาไม่อยู่ในห้อง แต่พอผลักประตูเข้าไปถึงได้รู้ว่าพวกเขาแตกตื่นกันไปเอง คนหากไม่นั่งดื่มสุราอยู่บนพื้นก็กำลังนอนหลับ นานวันเข้าทุกคนจึงเริ่มคุ้นชิน”
เฉินอิ๋งหลุบตาฟังไม่พูดไม่จา
คน ‘เก็บตัว’ ยุคโบราณจำพวกนี้ทำคนลดความระแวดระวังลงได้ง่ายจริงๆ การที่ทหารองครักษ์พวกนั้นทำงานย่อหย่อนจะว่าไปก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้อยู่
“บ่าวไพร่ที่เมื่อคืนเฝ้าจับตาดูเขาสองคนไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวอะไรเลยกระนั้นหรือ” นางถาม
เผยซู่ส่ายหน้า สีหน้าเคร่งขรึมมากขึ้นไปอีก “พวกเขาต่างหลับเป็นตาย ไหนเลยจะได้ยินอันใด”
ยามนี้เฉินอิ๋งกับเผยซู่เดินผ่านประตูรูปแจกันไปสองชั้นแล้ว กำลังเลี้ยวขึ้นไปอยู่บนระเบียงคดสีแดง
เฉินอิ๋งหยุดคิด นางกวาดตามองไปรอบๆ เห็นในลานพุ่มไม้เขียวชอุ่มสูงๆ ต่ำๆ บ้างชิดบ้างห่าง ห้องหับระเบียงงดงาม อีกทั้งยังมีธารน้ำไหลที่ชักจูงมาจากภายนอก สะพานขาวธารน้ำเขียว ต้นหยางต้นหลิวพลิ้วไหว ลานเรือนสองสามหลังปะปนอยู่ด้วยกัน ล้วนแต่กำแพงขาวกระเบื้องดำ ริมธารมีก้อนหิน แลดูเข้าท่าเข้าทางกว่าลานฝึกยุทธ์ที่อยู่ทางด้านหน้านั้น
“เรือนต่างๆ ที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นเรือนที่ใช้รับรองแขก ก่อนหน้านี้ก็ว่างเปล่าเช่นกัน เพียงแต่ระยะนี้มีสหายเก่าเข้ามาพำนักอยู่จำนวนหนึ่ง” เผยซู่แนะนำก่อนจะรีบชักเท้าเดินผ่านระเบียงคด ลัดเลาะตามป่าไผ่ไปบนเส้นทางเล็กๆ ที่มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ตลอดทางเสียงลมพัดผ่านต้นไผ่แผ่วเบา เงาไผ่เรียวยาวกระจัดกระจาย ชวนให้คนนึกทอดถอนใจคล้ายเดียวดายในป่าไผ่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
หลังจากเดินไปได้ราวๆ สี่ห้าสิบก้าว ครั้นเลี้ยวอีกคราวภาพตรงหน้าก็กลับกลายเป็นกว้างขวาง พวกนางมาถึงยังลานโล่งแห่งหนึ่ง
พื้นที่กว้างโล่งแห่งนี้หากประเมินด้วยสายตาของเฉินอิ๋งก็น่าจะมีขนาดประมาณหกสิบเจ็ดสิบตารางเมตร รอบๆ เชื่อมต่ออยู่กับเส้นทางหลายสายที่ตัดผ่านหญ้า บนร้านมีต้นถูหมีงดงาม ต้นทับทิมสองสามต้นผลิดอกตูม ทว่าบริเวณหัวมุมทิศตะวันออกเฉียงใต้กลับมีรั้วล้อมไว้ชั่วคราว ระหว่างรั้วมีผ้าเหลืองพันมัดไว้ ข้างๆ ยังมีทหารชั้นผู้น้อยนายหนึ่งยืนเฝ้าอยู่
“นั่นคือที่เกิดเหตุ หรือก็คือบ่อน้ำแห้งขอดที่ว่านั่น” เผยซู่ยื่นมือชี้
เขาหยิบเอาวิธีคลี่คลายคดีของเฉินอิ๋งมาใช้หมดสิ้น รวมถึง ‘ทฤษฎีไฟตัดหมอก’ ที่ไม่จำเป็นนั่น
เฉินอิ๋งพยักหน้าน้อยๆ แต่กลับไม่ได้เดินเข้าไปใกล้ ตรงกันข้ามนางกลับกวาดตามองไปรอบๆ ก่อน
ดูท่าคงไม่เคยตัดแต่งดูแลลานเรือนอะไรเป็นแน่
เฉินอิ๋งเดินตามเขามากว่าครึ่งจวนแล้ว เส้นทางหิน ถนนสายเล็กๆ ทั้งหมดล้วนถูกดินเลนกับหญ้าเขียวขึ้นคลุมหมดสิ้น เหยียบไปก็ให้ลื่นเท้า หาได้เดินดีกว่าย่ำไปบนดินเลนตรงๆ ไม่
“สถานที่แห่งนี้กว้างขวางยิ่ง เชื่อมต่อไปได้ทุกแห่ง” เฉินอิ๋งเอ่ยปากวิจารณ์ออกมาประโยคหนึ่งพลางเดินไปหยุดอยู่ข้างบ่อน้ำ
ทหารชั้นผู้น้อยนายนั้นถอยออกไปอยู่อีกด้าน
เผยซู่ยืนเป็นเพื่อนอยู่ข้างเฉินอิ๋ง นิ้วชี้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ “ห้องส้วมอยู่ทางด้านนั้น หากมองจากจุดนี้ไปยังพอมองเห็นได้อยู่เลาๆ”
เฉินอิ๋งมองตามนิ้วของเผยซู่ไป ลึกเข้าไปกลางพุ่มไม้นั่น กำแพงอิฐเขียวครามปรากฏให้เห็นอยู่มุมหนึ่ง
หลังจากจ้องดูอยู่ครู่หนึ่ง เฉินอิ๋งก็ขมวดคิ้ว “ข้าอยากถามตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ภายในห้องของเฉียนเทียนเจี้ยงไม่มีกระโถนหรืออย่างไร เหตุใดเขาต้องมาเข้าส้วมถึงนี่ด้วย”
คำถามนี้ติดค้างอยู่ในใจนางนานแล้ว พอมาถึงที่นี่ ในที่สุดนางก็เอ่ยปากถาม
พอได้ยินเช่นนั้นเผยซู่ก็สีหน้าเรียบเฉยเป็นปกติ จะมีก็แต่ทหารชั้นผู้น้อยนายนั้นเท่านั้นที่สีหน้าประหลาดใจ ปากอ้าค้างชำเลืองมองเฉินอิ๋งอยู่สองสามครา
คุณหนูใหญ่เฉินผู้นี้เขาเคยมองเห็นอยู่ไกลๆ คราหนึ่ง ได้ยินคนบอกว่านางไม่เหมือนกับผู้อื่น วันนี้ได้มาเห็นกับตา ไม่ผิดจากที่เล่าลือกันจริงๆ
สตรีนางหนึ่งพูดถึงกระโถนพูดถึงเรื่องเข้าส้วมหน้าตาเฉยราวกับพูดถึงเรื่องดื่มน้ำกินข้าวก็ไม่ปาน ชวนให้คนตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก
คนเช่นนี้พบเจอได้น้อยนัก…น้อยจริงๆ
ที่แท้ก็พิลึกพิลั่นเหมือนกัน มิน่าท่านโหวของพวกเราถึงต้องตาต้องใจนางนัก
ยามนี้ใจของเผยซู่ล้วนอยู่บนตัวของเฉินอิ๋งหมดสิ้น ไหนเลยจะรู้ถึงความคิดอ่านเหลวไหลของทหารชั้นผู้น้อยนายนั้นได้ ครั้นได้ยินนางถาม เขาก็ตอบออกมาทันที “แน่นอนว่าในห้องของเหล่าเฉียนย่อมต้องมีสิ่งที่พึงมี เพียงแต่เขาไม่คุ้นชินกับการใช้กระโถน ไม่ว่าจะพูดกี่ครั้งเขาก็ไม่ยอมฟัง สุดท้ายจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย”
พอพูดถึงตรงนี้เขาก็สีหน้าอับจน เฉินอิ๋งเองก็รู้สึกยิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
เดิมคิดว่าเรื่องนี้จะมีลับลมคมในอะไรเสียอีก ใครจะไปรู้ ที่แท้ก็แค่ความเคยชินเท่านั้น
จะว่าไปก็ใช่ เฉียนเทียนเจี้ยงใช้ชีวิตอยู่ในเขาลึกมานาน วิธีเข้าห้องน้ำเกรงว่าจะ ‘ตามอำเภอใจ’ ยิ่ง ยามนี้ครั้นกลับเข้า ‘สังคมศิวิไลซ์’ อีกครั้ง เมื่อความเคยชินยากจะเปลี่ยน เรื่องเช่นนี้ย่อมยากที่จะเลี่ยง
เฉินอิ๋งไม่พูดอันใดอีก หลังเดินวนรอบบ่อน้ำแห้งขอดนั่นรอบหนึ่ง นางก็อดลอบถอนหายใจไม่ได้
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
รอยเท้าดั้งเดิมถูกทำลายหมดสิ้นแล้ว จากที่นางประเมินด้วยสายตา อย่างน้อยก็น่าจะมีคนปรากฏตัวอยู่ที่นี่ไม่ต่ำกว่าสิบคน รอยเท้าสะเปะสะปะครอบคลุมพื้นที่เป็นวงใหญ่ คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นตอนงมศพขึ้นมา
นอกจากนี้บนปากบ่อยังมีรอยนิ้วมือ รอยเท้า รอยเช็ดถูอีกนับไม่ถ้วน รวมถึงรอยเชือกครูดถูก และชิงไถที่หลุดร่วงลงไปเป็นผืนใหญ่ ซึ่งน่าจะเป็นรอยที่เกิดขึ้นตอนงมศพเช่นกัน
สิ่งต่างๆ เหล่านี้มิได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเฉินอิ๋งแม้แต่น้อย เพราะมิได้นึกสับสนอันใดนัก นางจึงหันไปบอกกับเผยซู่ “เอาล่ะ พวกเราไปที่ห้องส้วมกันเถอะ”
ที่เกิดเหตุเบาะแสหลักฐานถูกทำลายหมดสิ้นเช่นนี้สืบไปก็หามีประโยชน์อันใดไม่ มิสู้รีบไปจัดการรวบรวมเบาะแสหลักฐานอื่น
เผยซู่เดินพานางไปยังห้องส้วมทันที
ห้องส้วมมีอยู่ด้วยกันสองห้องเล็กๆ แยกชายหญิง กลิ่นไม่รุนแรงนัก
เฉินอิ๋งเดินวนรอบห้องส้วมรอบหนึ่ง ก่อนจะเข้าไปตรวจดูที่ด้านใน
เพราะเผยซู่มิอาจตามเข้าไป จึงได้แต่ยืนตัวตรงอยู่ที่ด้านนอก สีหน้ากระอักกระอ่วนยิ่ง
ทว่าครั้นคิดดูอีกที แม้แต่ห้องส้วมเฉินอิ๋งก็ยังไม่ปล่อยผ่าน ทุกเรื่องล้วนลงมือจัดการด้วยตนเอง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อช่วยเหลือเขามิใช่หรือไร
ใจของเผยซู่จู่ๆ ก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวคล้ายเมฆหมอกแผ่กระจาย
เฉินอิ๋งใช้เวลาตรวจสอบเพียงไม่นาน ไม่ทันไรนางก็ย้อนกลับออกมา
เผยซู่เดินขึ้นหน้าเข้าไปกระซิบถาม “พบเบาะแสอันใดบ้างหรือไม่”
เฉินอิ๋งมิได้ปฏิเสธทันที ทำเพียงกล่าวว่า “ยังต้องตรวจสอบอีก” ก่อนจะเอ่ยปากถามเขา “เฉียนเทียนเจี้ยงพำนักอยู่ที่ใด”
เผยซู่เดินนำอยู่ทางด้านหน้า เสียงพูดแผ่วเบากว่าก่อนหน้านี้ “ข้าให้เขาพำนักอยู่ในจุดที่ห่างไกลผู้คนที่สุด หนึ่งเพราะเขาพฤติกรรมไม่เหมือนกับผู้อื่น สองก็เพราะต้องการหลบเลี่ยงหูตาผู้คน”
เขายกมือกดลงที่ข้างเอว หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น แววตากลัดกลุ้มยิ่ง “เพื่อเบี่ยงเบนสายตาของคนนอก ข้าจงใจใช้ลานเรือนรับรองพวกนั้นจนเต็ม ใครจะไปคิด คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต สุดท้ายก็ยังคงเกิดเรื่องขึ้น”
เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังลอดออกมาจากลำคอของเขา เผยซู่ตบด้ามกระบี่เบาๆ สองสามคราพลางถอนหายใจกล่าว “กำลังคนมีไม่พอ ลิขิตสวรรค์ยากคาดเดา ต้องทำเช่นไร…ต้องทำเช่นไรกัน”
ยามนี้เฉินอิ๋งสองตาจับจ้องไปทางด้านหน้า ใบหน้าที่น้อยนักที่จะแสดงความรู้สึกนั้นยังคงสงบนิ่งเช่นทุกครั้ง “ไว้รวบรวมข่าวสารข้อมูลเสร็จสิ้น มีข้อสรุปเป็นที่เรียบร้อย อาซู่ค่อยทอดถอนใจก็ยังไม่สาย”
พอได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้นเผยซู่ก็ตะลึง ขณะกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง จู่ๆ เขาก็เห็นเฉินอิ๋งยื่นมือชี้ “เรือนหลังนี้กระนั้นหรือ”
เผยซู่ตะลึงไปชั่วขณะ ครั้นหันมองกลับมาเขาก็พบว่าพวกตนเองกำลังยืนอยู่หน้าเรือนเล็กๆ หลังหนึ่ง ใช่เรือนที่ให้เฉียนเทียนเจี้ยงใช้เป็นที่พำนักจริงๆ ข้างประตูมีทหารกองกำลังสกุลเผยในชุดเกราะสองสามนายยืนเฝ้าอยู่
“ใช่แล้ว” เผยซู่ตอบ เขาโบกมือสั่งให้ทหารพวกนั้นถอยออกไปพลางกล่าว “เรือนชิงเฟิงแห่งนี้ไม่เพียงเงียบสงบ แต่หากยังห่างจากประตูข้างไม่ไกล สะดวกต่อการเข้าออก”
เส้นเสียงทุ้มต่ำถูกลมวสันต์ลูบไล้จนกลับกลายเป็นอบอุ่นอ่อนโยนไม่ต่างอันใดกับเสียงพิณ