ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 522-524
บทที่ 522 ตีวงให้แคบลง
และแล้วเผยซู่ก็ได้ยินเฉินอิ๋งกล่าวขึ้นอีก “ว่ากันตามการคาดคะเนของข้าก่อนหน้านี้ คนร้ายคงลงมือช่วงต้นยามจื่อสองเค่อจนถึงกลางยามจื่อหนึ่งเค่อ และที่เขาเลือกลงมือในช่วงเวลาดังกล่าวก็คงด้วยเพราะคำนวณดูดีแล้วว่าในช่วงเวลานั้นจะไม่มีคนเดินยามกลางคืนผ่านมา”
เผยซู่พยักหน้าสีหน้าเคร่งขรึม “คนร้ายผู้นี้เจ้าเล่ห์เพทุบายยิ่งนัก เขารู้ว่าทหารองครักษ์กับบ่าวไพร่ที่ประจำเวรยามตอนกลางคืนนั้นแบ่งออกเป็นสองกะ ต้นยามจื่อสองเค่อเป็นช่วงส่งมอบเวรยามพอดี”
“ใช่แล้ว” เฉินอิ๋งตอบด้วยน้ำเสียงสุขุมเยือกเย็น สีหน้าสงบนิ่ง “คนร้ายใจกล้าทั้งยังละเอียดรอบคอบ ลงมือก่อนที่พวกเราจะทันได้ทำอะไร เรียกได้ว่าร้ายกาจยิ่งนัก ทว่าเรื่องนี้…อาซู่ ท่านไม่จำเป็นต้องท้อแท้”
นางมองดูเผยซู่ นัยน์ตาระยิบระยับวับวาว “ไม่ว่าคนร้ายจะใจกล้าและละเอียดรอบคอบสักเพียงใด สุดท้ายไม่ว่าเช่นไรก็ต้องทิ้งร่องรอยอะไรบางอย่างเอาไว้แน่ การที่ข้าพูดเสียงดังออกไปเมื่อครู่ ความจริงแล้วก็เพื่อกระตุ้นเขา”
“เจ้าหมายความเช่นไร” เผยซู่มองดูนางอย่างงงงัน หว่างคิ้วขมวดเข้าหากันเป็นปม “ข้าคิดว่าที่เจ้าพูดเสียงดังซ้ำไปซ้ำมาเกี่ยวกับคดีนี้เมื่อครู่เป็นเพราะสืบไม่พบเบาะแสอันใดเสียอีก ที่แท้เจ้าก็กำลังหลอกคนร้ายตัวจริงที่ซ่อนตัวอยู่ในจวนหรือ”
เฉินอิ๋งส่งเสียง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง ยอมรับในข้อสันนิษฐานของเขา ก่อนจะเอ่ยปากขึ้นว่า “จากความเป็นไปได้ หลังเกิดเรื่องคนร้ายอาจย้อนกลับมายังที่เกิดเหตุ ปลอมตัวปะปนอยู่กับคนที่เข้ามามุงดูเหตุการณ์ คอยจับตาดูท่าทีของทุกคน เก็บเกี่ยวความรู้สึกพึงพอใจอันน่าประหลาดนี้ ปรากฏการณ์เช่นนี้อันที่จริงหาใช่เรื่องอัศจรรย์อันใดไม่ แน่นอน คดีนี้บางทีคนร้ายอาจรู้สึกพึงพอใจต่อผลลัพธ์เช่นนั้นอยู่ก่อนหน้าแล้ว ทว่าเพียงไม่นานจู่ๆ ข้าก็ปรากฏตัวขึ้นมา”
นางพูดช้าลง ใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มตามปกติ “ต่อให้ก่อนหน้านี้คนร้ายไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร ทว่ายามนี้เวลานี้เขาต้องรู้แล้วแน่ๆ คำพูดของข้าพวกนั้นน่าจะแพร่สะพัดถึงหูเขาได้ในเวลาอันรวดเร็ว หากข้าเป็นเขา หลังจากรู้เรื่องนี้ ท่านคิดว่าข้าควรทำเช่นไร”
นางกลอกตามองไปทางเผยซู่ รอยยิ้มกลับกลายเป็นพิลึกพิลั่น “ข้าคิดว่านับแต่วันนี้ไปเขาจะไม่ถามไถ่อันใดเกี่ยวกับคดีนี้ทั้งสิ้น เก็บหางทำตัวเป็นคน เพราะเรื่องราวหรือคำพูดเกินความจำเป็นนั้นไม่แน่ว่าอาจนำมาซึ่งภยันตรายใหญ่หลวง ชื่อเสียงเรื่องราวเกี่ยวกับเสินทั่นของข้านี้ไม่ว่าเช่นไรก็ยังนับได้ว่าดีอยู่”
พอพูดถึงตรงนี้รอยยิ้มของนางก็ลึกล้ำมากยิ่งขึ้น “หลังจากนี้อาซู่ก็แค่เอาคนที่มาปรากฏตัวอยู่ในที่เกิดเหตุหลังเกิดคดีกับคนที่ไม่สนใจในคดีนี้มาทำเป็นรายชื่อเปรียบเทียบ ถึงตอนนั้นข้าเชื่อว่าอย่างน้อยก็ต้องสามารถตีกรอบคนร้ายออกมาได้ไม่น้อยกว่าเจ็ดส่วนแล้ว”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” เผยซู่พูดคล้ายนึกอะไรขึ้นได้
เฉินอิ๋งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสริมออกมาอีกประโยค “อีกอย่าง…หากมีคนที่เดิมไม่ได้พำนักอยู่ในลานเรือนใหญ่นั่น แต่หลังเกิดเรื่องกลับวิ่งมาสังเกตการณ์ด้วย คนผู้นี้อาซู่ก็ต้องใส่ใจเช่นกัน”
“เรื่องนี้ไม่จำเป็น” เผยซู่ส่ายหน้า คิ้วยาวๆ ขมวดเข้าหากัน “ข้าอยากบอกกับเจ้าตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ขอบเขตของผู้ต้องสงสัยสามารถตีวงให้แคบลงได้อีกเล็กน้อย คนร้ายผู้นั้นบางทีอาจเป็นคนที่พำนักอยู่ในเรือนใหญ่”
“เอ๋?” เฉินอิ๋งรู้สึกประหลาดใจ “คำพูดนี้หมายความเช่นไร”
เผยซู่ยกมุมปากด้านหนึ่งขึ้น รอยยิ้มแลดูพิลึกพิลั่นอยู่หลายส่วน “เมื่อครู่ตอนพวกเราย้อนกลับมาจากเรือนประธานกับเรือนที่เกิดเหตุ เจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ว่าระหว่างทางต้องผ่านลานเรือนสองแห่ง”
“ใช่แล้ว” เฉินอิ๋งกล่าว หว่างคิ้วขมวดเข้าหากันน้อยๆ “นั่นก็หมายความว่าสถานที่สองแห่งนี้อยู่ห่างกันไกลมาก”
“ไกลมากจริงๆ” เผยซู่กล่าว รอยยิ้มเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ฝากแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกเย้ยหยันตนเอง “เพราะลานเรือนสองชั้นนั้นเดิมไม่มีคนอยู่อาศัย มีทหารองครักษ์ลับคอยเฝ้าอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน และเพราะข้ากลัวมีคนแอบลอบเข้ามาทำร้ายเฉียนเทียนเจี้ยง จึงวางกำลังคนให้คอยยืนยามอยู่ที่ด้านนอกเพิ่ม”
เขาก้มหน้าลงช้าๆ มุมปากยกโค้งยิ้มขื่น “ข้าอุตส่าห์ป้องกันแน่นหนา แต่กลับป้องกันคนนอก มิได้ป้องกันคนใน ปล่อยให้คนพวกนั้นสบโอกาสลงมือ”
เฉินอิ๋งได้ยินเช่นนั้นกลับเห็นต่าง
“ข้ารู้สึกว่านี่เป็นโชคดีในโชคร้าย” นางสีหน้าโล่งอก ถึงกับออกอาการปลาบปลื้มยินดี “ขอบเขตผู้ต้องสงสัยหดเล็กลง โอกาสที่จะจับตัวคนร้ายได้ก็ย่อมมากยิ่งขึ้น สามารถประหยัดเวลาคัดตัวผู้ต้องสงสัยไปได้มาก”
“ก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” เผยซู่เค้นรอยยิ้มออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ปรารถนาจะเห็นเฉินอิ๋งเป็นกังวล เพียงไม่นานเขาก็ฝืนทำตัวกระปรี้กระเปร่าพูดว่า “ทหารองครักษ์ลับที่ซ่อนตัวอยู่พวกนั้นล้วนไม่เลว หนึ่งกลุ่มประกอบด้วยคนสามคน ต่างคอยจับตาดูซึ่งกันและกัน ข้าคิดว่าโอกาสที่จะมีคนร้ายแฝงอยู่ในกลุ่มพวกเขานั้นมีไม่มากนัก มีพวกเขาอยู่ คนร้ายย่อมไม่มีทางแอบเข้ามาจากด้านนอกได้ เพราะฉะนั้นคนที่ลงมือจึงเป็นไปได้ก็แต่คนที่อาศัยอยู่ในลานเรือนนั่นเท่านั้น”
เฉินอิ๋งเพียงพยักหน้าไม่พูดไม่จาอันใด จากคำพูดของเผยซู่ นางพออนุมานได้เรื่องหนึ่ง นั่นก็คือคนร้ายไม่น่าจะเป็นทหารองครักษ์
ขนาดทหารองครักษ์ยังมีกลุ่มละสามคน คอยจับตาซึ่งกันและกัน คาดว่าทหารที่ยืนยามตอนกลางคืนก็คงเช่นกัน หากคนร้ายเป็นหนึ่งในพวกเขา ไม่ว่าจะประจำเวรยามอยู่หรือไม่ การเคลื่อนไหวย่อมถูกจำกัด โอกาสจะลงมือเรียกได้ว่าน้อยยิ่งกว่าน้อย
ครั้นคิดถึงจุดนี้เฉินอิ๋งก็เอ่ยปากถามเผยซู่ “อาซู่ ท่านมีคนที่เชื่อถือไว้วางใจได้บ้างหรือไม่”
“ย่อมต้องมี” เผยซู่ตอบอย่างรวดเร็ว สายตาเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ “อาอิ๋งเหตุใดถึงถามเช่นนี้”
เฉินอิ๋งกล่าว “ข้ามีวิธีที่จะสามารถแยกแยะคนร้ายได้รวดเร็ววิธีหนึ่ง ทว่าวิธีนี้ใช้ได้กับผู้คนจำนวนไม่มากนักเท่านั้น”
นางจ้องเผยซู่นิ่ง สีหน้าจริงจัง “สิ่งที่อาซู่ต้องทำเป็นอย่างแรกคือต้องกำหนดขอบเขตของผู้ต้องสงสัยไว้ไม่เกินสิบคน วิธีการของข้าจะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่ออยู่ในขอบเขตจำนวนคนไม่เกินกว่านี้ หากขอบเขตกว้างเกินไป อาจทำให้ดูแลไม่ทั่วถึง”
พอได้ยินเช่นนั้นเผยซู่ก็เผลอแตะด้ามกระบี่เข้าอย่างไม่รู้ตัว คิ้วที่เคยขมวดอยู่ก่อนหน้านี้คลายออกเล็กน้อย “ขอบอกกับอาอิ๋งตามตรง ข้ากำลังกลุ้มใจเรื่องนี้อยู่ อย่างไรก็ต้องขอให้เจ้าช่วยให้ความกระจ่างด้วย”
“เรื่องนี้อันที่จริงก็หาได้ยากไม่ แค่มีข้ออ้างถูกจังหวะเป็นขั้นเป็นตอนให้หยิบออกมาใช้ก็ได้แล้ว” เฉินอิ๋งยิ้มกล่าวพลางยกมือขึ้นลูบเส้นผมเบาๆ “ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าทางเผิงไหลเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้น เช่นนั้นพวกเราก็ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างก็ได้ ท่านก็แค่…”
นางขยับเข้าไปที่ข้างหูของเผยซู่ กระซิบสั่งอะไรบางอย่าง หลังชักเท้าออกได้เพียงไม่กี่ก้าวนางก็เงยหน้าหัวเราะมองเขา “เมื่อคำพูดนี้แพร่ออกไป ท่านก็ให้คนจับตาดูผู้ต้องสงสัยไว้ ใครนิ่งเงียบก็คือคนผู้นั้น”
เผยซู่ฟังพลางพยักหน้าติดๆ กัน ทั้งรู้สึกเลื่อมใสทั้งปลาบปลื้มยินดี ขณะกำลังจะพูด เสียงเอะอะก็ดังลอยเข้ามา ที่ปะปนอยู่ในนั้นคือเสียงดังเอ็ดตะโรของหลางถิงอวี้
“ใต้เท้าเฉิน…ใต้เท้าเฉิน…ท่านค่อยๆ เดินเถิด ถนนหนทางลื่นยิ่งนัก ให้ผู้น้อยช่วยประคองดีหรือไม่”
ที่ดังตามติดมาคือเสียงฝีเท้าสับสน ยามนี้อยู่ที่นอกม่านแล้ว
เสียงพึ่บดังขึ้น หลางถิงอวี้ชะโงกหน้าเข้ามา กวาดตามองดูสถานการณ์ภายในห้องอย่างรวดเร็ว สีหน้ากลับกลายเป็นโล่งอก ก่อนที่เขาจะเบี่ยงกายเลิกม่าน พูดเสียงดังจนคานหลังคาแทบจะถล่ม
“ท่านโหว คุณชายเฉิน ใต้เท้าเฉินมาขอรับ…” น้ำเสียงแหบพร่าราวกับเป็ดแก่ลากยาว เสมือนกระแสคลื่นพลิกม้วนสาดซัดเป็นวงกว้าง โหมกระหน่ำจนคนยั้งเท้าไม่อยู่
หลางถิงอวี้กลับไม่รู้สึกรู้สา เขาขยิบตาไปทางเผยซู่อย่างเอาเป็นเอาตาย นัยน์ตาเหลือกจนเกือบจะกลับสู่สภาพปกติไม่ได้
เผยซู่หน้าบึ้งถลึงตาใส่เขาคราหนึ่ง ไม่พูดอันใดมากก็รีบชักเท้าเดินขึ้นหน้า เงาร่างสูงๆ เดินผ่านประตูห้องเข้ามา อาภรณ์ขุนนางสีแดงฉานขับดุนอยู่กับท่าทีเย็นยะเยือกเงียบเหงาเยี่ยงไผ่โดดเดี่ยว บรรยากาศภายในห้องกลับกลายเป็นสว่างไสวทั้งยังเย็นยะเยือก
“หลานคารวะท่านลุง” เผยซู่ค้อมกายแสดงคารวะ ใบหน้าที่ปกติแฝงไว้ซึ่งกลิ่นอายพาลพาโลยามนี้กลับกลายเป็นเคร่งขรึมจริงจังอยู่หลายส่วน
คำตอบที่เขาได้รับกลับเป็นเสียง “เฮอะ” หนักๆ คราหนึ่ง
คนที่มาคือเฉินเซ่า