ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 522-524
บทที่ 523 ไม่อาจซ่อมแซมแก้ไข
เฉินเซ่าใบหน้าบึ้งตึง ไม่แม้แต่จะมองดูเผยซู่ เขาเดินอ้อมอีกฝ่ายตรงเข้าไปยังห้องข้าง
“บิดามาได้เช่นไร” จนถึงยามนี้เฉินอิ๋งถึงเพิ่งจะมีโอกาสได้เอ่ยปาก นางแสดงคารวะพลางเอ่ยปากถาม
เฉินเซ่ากวาดตามองไปรอบๆ สีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นเขาก็ปั้นหน้าบึ้งตึงขึ้นมาอีก “พ่อมาเพราะเหตุจำเป็น”
ขณะกำลังพูด สายตาของเขาก็กวาดมองไปยังศพที่อยู่บนเตียง ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาเผยให้เห็นถึงความรู้สึกไม่พึงพอใจอย่างยิ่งยวด “เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ คงไม่ใช่ว่าใต้เท้าเผยฉุดกระชากลากตัวเจ้ามากระมัง”
ทันทีที่พูดจบสายตาเย็นเยียบดุจมีดก็กวาดมองไปทางเผยซู่คราหนึ่ง
เผยซู่รีบค้อมตัวเอ่ยปากหมายอธิบาย นึกไม่ถึงว่าเฉินอิ๋งกลับชิงเดินขึ้นหน้าสองก้าว บังขวางเขาไว้ด้านหลัง
“ลูกต้องการมาที่นี่เอง หาเกี่ยวอันใดกับท่านโหวน้อยไม่ บ้านของท่านโหวน้อยมีคนตาย ลูกเพราะต้องการสืบสาเหตุการตายให้กระจ่างถึงได้เดินทางมาที่นี่เอง” เฉินอิ๋งตอบด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
บางทีอาจสงบนิ่งเกินไปเสียด้วยซ้ำ
ครั้นพูดจบนางก็สะบัดแขนเสื้อด้วยท่าทีสงบเยือกเย็นพลางกวาดตามองไปยังศพของเฉียนเทียนเจี้ยงด้วยสายตาเย็นเยียบ “บิดาคงทราบ ลูกไม่ได้เป็นเพียงคุณหนูใหญ่สกุลเฉิน แต่หากยังเป็นเสินทั่นพระราชทาน เมื่อมีคนพบเจอคดียุ่งยาก ลูกย่อมไม่อาจไม่สนใจ เรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบของลูก บิดาเป็นขุนนางราชสำนัก เชื่อว่าย่อมเข้าใจความหมายนี้ดี”
น้ำเสียง ท่าที ถ้อยคำที่นางเลือกใช้ล้วนกระจ่างชัด แต่ถึงกระนั้นก็มิได้เหินห่างเย็นชาแต่อย่างใด ทั้งหมดล้วนสนิทชิดเชื้ออย่างที่บุตรีกับบิดาพึงเป็น สอดคล้องกับธรรมเนียมปฏิบัติบรรทัดฐาน
เฉินเซ่าตะลึงงันไปชั่วขณะ ทว่าหลังจากนั้นไม่นานใบหน้าหล่อเหลางดงามของเขาก็ปรากฏสีหน้ายากจะเข้าใจได้รางๆ
“เด็กดี พ่อมิได้มาห้ามปรามเจ้า เจ้า…อย่าได้โกรธขึ้ง” เขาพูดจาอ่อนโยนพลางยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดข้างหน้าผาก
เฉินอิ๋งเพิ่งสังเกตเห็นว่าบนศีรษะของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยเหงื่อ เห็นได้ชัดว่ารีบร้อนเดินทางมา
ทันใดนั้นอารมณ์ความรู้สึกแปลกประหลาดก็เข้าครอบงำจิตใจนางจนหมดสิ้น เฉินอิ๋งถอนหายใจเงียบๆ
เฉินเซ่าน่าจะตรงมาจากที่ว่าการ อาภรณ์ในชุดขุนนางเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ชัดแจ้งที่สุด
เฉินอิ๋งอดพิจารณามองดูเขาไม่ได้
อาภรณ์สีแดงดุจโลหิต ฉูดฉาดงดงามยิ่ง
ทว่าสีสันสะดุดตานี้ ครั้นแทรกซึมเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย กลับเหลือแต่เพียงความรู้สึกโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา ไม่ต่างอันใดกับดอกไม้ริมฝั่งน้ำที่เบ่งบานอยู่ยามค่ำคืน ทั้งๆ ที่งดงามจับใจ แต่กลับเย็นเยียบเงียบเหงาราวกับไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเรื่องราวทางโลกนานา
น่าแปลก จู่ๆ เฉินอิ๋งก็นึกถึงหลี่ซื่อ
ตอนนี้นางพอเข้าใจได้เล็กน้อยแล้วว่าเหตุใดหลี่ซื่อถึงคิดไม่ตกไม่อาจปล่อยวาง
บุรุษตรงหน้าผู้นี้เนื้อตัวเต็มไปด้วยท่วงทีขัดแย้งลึกลับ ทั้งอยู่ในวงสังคมขณะเดียวกันก็ปลีกตัวออกจากวงสังคมเช่นกัน บริสุทธิ์สว่างกระจ่างใสคือเขา ลึกล้ำยากคาดเดาก็คือเขา อบอุ่นอ่อนโยนก็ยังคงเป็นเขา
สำหรับสตรีแล้ว เสน่ห์เช่นนี้ส่งผลถึงชีวิตจริงๆ หากตกลงไปไหนเลยจะถอนตัวกลับขึ้นมาได้อีก
ดูท่าหลี่ซื่อก็คงเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่ว่านางไม่ยินดีปล่อยมือ แต่หากเป็นเพราะว่านางจมอยู่ในนั้นนานเกินไปแล้ว แม้แต่ลมหายใจก็ยังเป็นเขา
ภาพใบหน้าอบอุ่นอ่อนโยนเต็มไปด้วยความห่วงหาอาทรของผู้เป็นมารดาปรากฏขึ้นในสมองของเฉินอิ๋ง
นางหลับตาลงเล็กน้อยพร้อมถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้ตัวคราหนึ่ง
ช่างเถอะ เพื่อหลี่ซื่อนางเลือกที่จะละทิ้งท่าทีเชือดเฉือนเย็นชาเช่นนั้น
ถึงแม้ว่าลึกลงไปในใจเฉินอิ๋งจะเชื่อว่าความสัมพันธ์พ่อลูกของพวกนางจะไม่มีวันกลับมาดีกันได้อีก แต่ถึงกระนั้นสิ่งที่เรียกว่า ‘หน้าตา’ อย่างไรนางก็ไม่อาจไม่สนใจไยดี
“บิดาได้โปรดให้อภัยด้วย เมื่อครู่ลูกเลือกใช้คำไม่เหมาะสม ทำให้บิดาต้องเป็นห่วงแล้ว” นางย่อเข่าแสดงคารวะ ครั้นลุกขึ้นก็ขยับตัวไปข้างๆ เปิดทางให้เผยซู่ที่อยู่ด้านหลังได้ปรากฏกายขึ้นอีกคราว
เฉินเซ่าแย้มยิ้ม เป็นยิ้มที่อ้างว้างยิ่งนัก ราวกับมิปรารถนาให้ผู้คนทั่วหล้าได้ล่วงรู้
“ไม่เป็นไร พ่อรีบร้อนเอง” เขาลดแขนลงหันมองไปรอบๆ
ห้องนี้กว้างโล่งไม่มีอันใดให้ดูเลยแม้แต่น้อย สีหน้าเขากลับกลายเป็นผ่อนคลาย
ดูท่าที่บุตรีของเขาว่ามาจะเป็นความจริง นางเดินทางมาที่นี่ก็เพื่อสืบคดี หาใช่เพื่อเรื่องส่วนตัวแต่ประการใด
“เช่นนั้นคดีสืบกระจ่างแล้วหรือไม่”
เฉินอิ๋งพยักหน้า ใบหน้าแสดงท่าทีเสียอกเสียใจได้อย่างพอเหมาะพอควร “สืบกระจ่างแล้ว คนผู้นี้พลั้งเท้าตกลงไปในบ่อน้ำ เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ”
นางหันหน้าไปทางเผยซู่ สีหน้ายังคงเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยน “ท่านโหวน้อย หากท่านต้องการได้ความคิดเห็นจากข้า ข้าคิดว่าคดีนี้สามารถระบุได้ว่าเป็นอุบัติเหตุ”
“ได้ ข้าเข้าใจแล้ว” เผยซู่พยักหน้า ดวงตาที่ทอดมองมาทางเฉินอิ๋งอ่อนโยนราวกับสายลมแผ่วเบาช่วงปลายวสันต์ “ขอบคุณคุณหนูใหญ่เฉินยิ่ง ท่านช่วยข้าไว้ได้มากจริงๆ”
ตอนคนทั้งสองพูดคุยกัน สายตาของเฉินเซ่ากลับจับจ้องอยู่ที่ศพบนเตียงนั่น
อันที่จริงควรบอกว่าเพราะไม่รู้จะมองไปที่ใด เขาจึงได้แต่หยุดสายตาไว้ที่นั้น
สตรีพูดคุยอยู่กับว่าที่สามี เขาผู้เป็นบิดาแม้จะอยู่ที่นี่ แต่กลับมิเหมาะที่จะมองดูอันใดมากนัก
ไม่ว่าเช่นไรที่ผู้อื่นคุยกันก็เป็นเรื่องการเรื่องงาน ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังมีฮ่องเต้หยวนจยาคุ้มหัวอยู่
พูดอีกอย่างก็คืองานแต่งของพวกเขาฮ่องเต้หยวนจยาพระราชทานให้ ในอีกแง่มุมหนึ่ง คนที่เป็นพ่อเช่นเขาไหนเลยจะสามารถแสดงทีท่าเอือมระอาต่อท่านโหวน้อยเจ้าของกลิ่นอายพาลพาโล ร้างไร้ทีท่าเฉกบัณฑิตอันใดแม้แต่น้อยผู้นี้ได้
ถึงเขาจะไม่เคยนึกพึงพอใจในตัวว่าที่ลูกเขยผู้นี้เลยแม้แต่น้อยก็ตาม
เฉินเซ่ากดหัวคิ้วตนเอง
คิ้วดำดุจน้ำหมึก ท่วงทีงามสง่า จอนผมได้รับการตกแต่งเป็นอย่างดี ดวงตาดำขลับเป็นประกาย ลักษณะท่าทางกระฉับกระเฉงคล่องแคล่ว
สิ่งต่างๆ เหล่านี้เขาไม่เคยสังเกตเห็นแม้แต่น้อย
ในทางกลับกัน ก็ด้วยเพราะเหตุนี้ ท่าทีของเขาถึงได้เคร่งขรึมไม่สะทกสะท้าน
เฉินเซ่ายืนไพล่มืออยู่ทางด้านหลัง แสงสว่างนอกหน้าต่างทอดเข้ามาภายใน จับอยู่บนร่างของเขา ก่อเกิดเค้าโครงเงียบเหงาโดดเดี่ยว ส่วนสีหน้าท่าทางของเขากลับอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น
ช่างเถอะ เขาคอยเฝ้าสังเกตอยู่ข้างๆ ก็แล้วกัน คำนวณจากเวลาแล้ว ต่อให้มามาพวกนั้นคลานมา ยามนี้ก็น่าจะใกล้ถึงเต็มทีแล้ว
ขณะที่กำลังคิดเช่นนี้ ฉีมามาผู้ดูแลจวนสกุลหลี่กับหญิงรับใช้สูงวัยงกๆ เงิ่นๆ อีกสองสามนางก็วิ่งเหยาะๆ หอบหายใจเข้ามาในลาน
หลังจากนั้นอีกไม่นาน สวินเจินจือสือกับสาวใช้สกุลหลี่อีกสองนางก็วิ่งเหงื่อท่วมหัวเข้ามา
นี่ไม่ใช่เพราะพวกนางเชื่องช้า แต่หากเพราะเฉินเซ่ามาถึงจวนสกุลเผยก่อน พร้อมอาศัยตำแหน่งขุนนางบุกเข้ามาทันทีด้วย
ส่วนบ่าวไพร่อย่างพวกนางจำต้องแสดงเทียบก่อน หลังจากนั้นค่อยให้มามาแม่บ้านของสกุลเผยนำทางมา เพราะฉะนั้นกว่าจะมาถึงที่นี่ได้ก็ห่างกันอยู่พักใหญ่
“คารวะนายท่าน” ฉีมามานำทุกคนแสดงคารวะต่อเฉินเซ่าก่อน
ทันใดนั้นลานเรือนที่แลดูคล้ายกับสนามฝึกยุทธ์ก็มีบรรยากาศของเรือนในฝากแฝงเข้ามาอยู่หลายส่วน
เฉินเซ่าสีหน้าสงบนิ่ง เขาโบกมือเอ่ย “ลุกขึ้น”
ทุกคนต่างพากันลุกขึ้น สวินเจิน จือสือ และสาวใช้สี่คนขยับขึ้นหน้าล้อมเฉินอิ๋งไว้ สวินเจินกล่าวว่า “คุณหนู พวกผู้น้อยเอาเสื้อคลุมมาด้วยสองสามตัว คุณหนูเลือกดูเถิดว่าจะสวมตัวใดดี”
เฉินอิ๋งสังเกตเห็นอยู่แต่แรกแล้ว บนไหล่ของสาวใช้ทั้งสี่ต่างมีเสื้อคลุมแขนกว้างต่างสีพาดไว้คนละตัว
“นายท่านบอกว่าจี่หนานไม่เหมือนกับเมืองหลวง ตอนคุณหนูออกจากบ้านมาต้องทำตัวเยี่ยงสตรีทั้งหลายถึงจะได้” จือสือกระซิบอยู่ข้างๆ
เฉินเซ่าไม่ปฏิเสธ เขาพยักหน้าด้วยท่าทีไม่อินังขังขอบ “พ่อเป็นคนสั่งให้พวกนางเตรียมเอง เพราะไม่รู้ว่าเจ้าชอบตัวใด จึงให้พวกนางเอามาสักหลายๆ ตัวจะได้ให้เจ้าเลือก”
เฉินเซ่าไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าบนใบหน้าของตนเองมีรอยยิ้มแขวนประดับอยู่ แววตาอบอุ่นอ่อนโยน คล้ายเอ็นดูรักใคร่ผู้เป็นบุตรีอยู่หลายส่วน
เฉินอิ๋งก้มศีรษะลงน้อยๆ คล้ายมองไม่เห็น
อันที่จริงนางสังเกตเห็นแล้ว เสื้อคลุมสองสามตัวนี้ล้วนตัดขึ้นใหม่ หากคาดไม่ผิด เฉินเซ่าน่าจะสั่งให้คนตัดเย็บขึ้น