ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 522-524
บทที่ 524 เศษเสี้ยวบิดเบือน
มุมปากของเฉินอิ๋งขยับอยู่น้อยๆ ใบหน้าเผยให้เห็นถึงสิ่งที่พอจะเรียกว่า ‘รอยยิ้ม’ ได้อยู่ชั่วขณะ “ขอบคุณบิดาที่เมตตา ลูกทำบิดาลำบากแล้ว”
“พ่อเดาว่ามาถึงซานตงเจ้าคงต้องได้ใช้แน่ จึงสั่งให้คนเตรียมไว้ก่อนล่วงหน้า นับว่าไม่เสียทีที่ได้เตรียมไว้” เฉินเซ่าน้ำเสียงอ่อนโยน รอยยิ้มละมุนละไม “ลูกพ่อ เจ้าก็เลือกสักตัวก่อนเถิด เลือกเสร็จก็กลับบ้านไปกับพ่อ ไปคารวะท่านยายกับท่านลุงของเจ้า”
คำพูดนี้นับว่าถูกต้องด้วยเหตุผลยิ่ง เฉินอิ๋งเดินทางมาถึงจี่หนาน จำต้องไปคารวะญาติอาวุโสก่อนถึงจะสอดคล้องตามธรรมเนียมประเพณี การที่นางไม่ทันได้พบหน้าใครก็ตรงดิ่งมาคลี่คลายคดีที่จวนสกุลเผยเช่นนี้ หากพิจารณาดูให้ละเอียดถี่ถ้วน การกระทำเช่นนี้นับว่าเสียมารยาทอยู่ไม่น้อย หากพบเจอพวกชอบหาเรื่องเข้าล่ะก็ แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็ทำให้นางถูกวิพากษ์วิจารณ์ตำหนิติติงได้แล้ว
เฉินอิ๋งย่อมไม่ปฏิเสธ นางตอบรับอย่างว่านอนสอนง่าย เลือกเสื้อคลุมสีชมพูขึ้นมาตัวหนึ่ง ก่อนจะปล่อยให้พวกสวินเจินช่วยจัดการคลุมลงบนตัว
เฉินเซ่าในที่สุดก็หันมองมาทางเผยซู่ตรงๆ
“หลังจากนี้คงไม่จำเป็นต้องรบกวนท่านโหวน้อยให้ออกไปส่งอีก ข้ารู้จักเส้นทางดี” น้ำเสียงของเขายังคงอ่อนโยนเหมือนเก่า สีหน้าไม่นับว่าเย็นชา มีแต่คนที่ประจันหน้ากับเขาตรงๆ เท่านั้นถึงจะรับรู้ถึงความเย็นเยียบที่ซ่อนแฝงอยู่ในน้ำเสียงนั่นได้
เผยซู่กลับหน้าไม่เปลี่ยนสี ก็แค่สายตาเย็นเยียบไม่กี่ทีของท่านพ่อตาเท่านั้น เขาไหนเลยจะทนรับไม่ได้
อย่าว่าแต่สายตาเย็นชาเลย ต่อให้เป็นเท้า รองเท้า ไม้พลองเย็นเยียบ เขาก็ล้วนยินดีรับมัน อีกทั้งยังจะกล่าวคำว่า ‘ขอบคุณยิ่ง’ เสียด้วยซ้ำ
เฉินเซ่าขมวดคิ้ว มองดูอีกฝ่าย
คนทั้งสองแม้จะยืนห่างจากกันเพียงไม่กี่ก้าว ทว่าสายตาที่ทอดมองไปของเฉินเซ่ากลับราวกับมีพันภูผาหมื่นนทีกั้นขวาง ไกลห่างไร้สิ้นสุด
เผยซู่ดึงสายตากลับ ยืนค้อมกายหน้าไม่เปลี่ยนสี
การต่อสู้กันด้วยสายตาถ้อยวาจาเฉียบคมจำพวกนี้เป็นวิธีการของปัญญาชน ส่วนตัวเขาแต่ไหนแต่ไรก็ใช้แต่กำปั้นพูดจา การตอบสนองต่อเรื่องราวจำพวกนี้ล้วนเฉื่อยชา นี่คือเหตุผลประการที่หนึ่ง ประการที่สองคือหลายปีมานี้เขาแขวนตำแหน่งอยู่ในกรมอาญา คุ้นเคยกับสายตาเย็นชาสิ้น สายตาของท่านพ่อตาที่มองมาในยามนี้ไม่ต่างอันใดกับลูกอมขนมหวานเลยแม้แต่น้อย
ครั้นเห็นเช่นนั้นนัยน์ตาของเฉินเซ่าก็เหมือนฝากแฝงไว้ซึ่งความหมายหลายหลาก สีหน้าท่าทางห่างเหินยิ่งกว่าเก่า
โชคดีที่ในที่สุดเฉินอิ๋งก็แต่งเนื้อแต่งตัวเป็นที่เรียบร้อย นางเอ่ยปากขึ้นได้จังหวะพอดี “บิดา พวกเราไปกันเถิดเจ้าค่ะ”
เฉินเซ่าชักสายตากลับมาจ้องมองดูเฉินอิ๋ง ครั้นเห็นนางห่อคลุมร่างด้วยเสื้อคลุมสีชมพู ใบหน้างดงามตามธรรมชาติก็ถูกขับดุนให้งดงามมากขึ้นเป็นเท่าทวี มวยผมที่ถูกเกล้าไว้เยี่ยงบุรุษยามนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอันใด ทว่าโชคดีที่ฉีมามาเตรียมการอยู่ก่อนหน้าแล้ว ครั้นสวมหมวกม่านแพร บุคลิกลักษณะที่ปรากฏออกมาให้เห็น หากจะบอกว่าเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ เป็นกุลสตรีชั้นสูงเปี่ยมด้วยเกียรติยศสูงส่งก็หาผิดอันใดไม่
เฉินเซ่าสีหน้าเปลี่ยนแปลงเป็นอ่อนโยน เขาพยักหน้าน้อยๆ พลางเอ่ย “ดียิ่งนัก”
เฉินอิ๋งไม่พูดอันใด นางยกมือปล่อยผ้าโปร่งลง
ผ้าโปร่งยาวสีฟ้าอ่อน นุ่มละมุนไม่ต่างอันใดกับสายน้ำ กระเพื่อมไหวทั้งๆ ที่ไม่มีลม แลดูงามสง่าอยู่หลายส่วน
ครั้นเห็นเช่นนั้นมุมปากของเผยซู่ก็ไม่วายฉีกออก ในใจอดนึกเลื่อมใสในตัวเฉินเซ่าไม่ได้
ว่าที่พ่อตาของเขาผู้นี้อย่างไรก็เป็นบัณฑิตผู้รู้หนังสือ ท่วงท่างามสง่าแห่งวิญญูชนฝังลึกอยู่ในกระดูก แม้แต่เสื้อผ้าอาภรณ์ที่เลือกมาก็ยังงดงามไม่ธรรมดา
ช่างน่ามองยิ่งนัก
เฉินเซ่าสีหน้าเคร่งขรึมอยู่เล็กๆ เขากระแอมกระไอออกมาคราหนึ่งพลางประสานมือไปทางเผยซู่ “ลาก่อน”
“ท่านลุงถนอมตัวด้วย” เผยซู่ค้อมกายลงอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
เขาเองรู้กาลเทศะดี ครั้นส่งถึงบันไดขั้นสุดท้ายเขาก็ชะงักเท้าอยู่ที่นั่น คล้ายจดจำคำพูดของเฉินเซ่าที่ว่าไม่ต้องไปส่งได้
เฉินเซ่าสะบัดแขนเสื้อกว้าง นัยน์ตาไม่ต่างอันใดกับแมลงปอโฉบผิวน้ำ กวาดมองไปบนร่างของเผยซู่คราหนึ่ง ก่อนจะไพล่สองแขนไปทางด้านหลัง สาวเท้ายาวๆ เดินจากไป
พวกสวินเจินห้อมล้อมเดินตามเฉินอิ๋งไป ฉีมามาเดินนำสาวใช้อยู่ทางด้านหลัง คนทั้งหมดเดินออกจากนอกประตูลานไปอย่างเอิกเกริก
เฉินอิ๋งเดินตามทุกคนออกไป ในใจสงบนิ่งดุจผืนน้ำ ไม่มีทีท่าอาลัยอาวรณ์เยี่ยงดรุณีน้อยที่ไม่มีโอกาสได้กล่าวลากับอีกฝ่าย
ลมวสันต์อบอุ่นอ่อนโยน พัดผ่านลานกว้าง ไม่รู้ฟากฟ้าฝั่งตะวันตกเต็มไปด้วยเมฆสีแดงฉานดั่งไฟตั้งแต่เมื่อใด ก้อนเมฆสีแดงเข้ม แดงดอกท้อ แดงม่วงสารพัดปะปนอยู่ด้วยกัน อาบย้อมท้องนภาไปกว่าครึ่ง ดอกถูหมีเจิดจรัส กวาดท่วงทำนองหงอยเหงายามตะวันลับฟ้าไปจนสิ้น
“อาทิตย์อัสดงนี้งดงามยิ่งนัก” สวินเจินเอ่ยทอดถอนใจเสียงแผ่ว พึมพำกระซิบว่า “ ‘เช้ามองอาคเนย์ ค่ำมองพายัพ’ พรุ่งนี้เชื่อว่าอากาศต้องดีแน่”
นางเพราะสนิทชิดเชื้อกับหลัวมามา ความเชื่อพื้นบ้านเหล่านี้นางล้วนเรียนรู้มาจากอีกฝ่ายทั้งสิ้น
เฉินอิ๋งแย้มยิ้ม ขณะกำลังจะเอ่ยปาก จู่ๆ หางตานางก็คล้ายชำเลืองเห็นความเคลื่อนไหวบางอย่าง
นางรีบเพ่งตามองไป เห็นเฉินเซ่าที่เดินอยู่ข้างหน้าท่าทางคล้ายมีอันใดผิดปกติ ร่างกายโซซัดโซเซอย่างแรง
เฉินอิ๋งตกใจ นางรีบเดินตรงเข้าไปถามไถ่ “บิดา ท่านเป็นอะไรไป”
น้ำเสียงฝากแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกร้อนอกร้อนใจเช่นนี้ สำหรับเฉินเซ่าแล้วมันกลับเคลื่อนคล้อยอย่างรวดเร็ว ไม่ต่างอันใดกับสายป่านว่าวที่ถูกสายลมแรงพัดกระโชก ทุกตัวอักษรล้วนให้กำเนิดคลื่นสูง
เขาส่ายศีรษะ
ยามนี้เขาปวดศีรษะยิ่งนัก แม้แต่โหนกคิ้วก็ปวด มุมหน้าผากก็ยิ่งปวด คล้ายมีคนดึงรั้งเหยียดยืดเส้นเอ็นที่อยู่ใต้ผิวหนังออกตลอดสองข้าง
ท้องฟ้าหมุนคว้าง ดอกไม้ใบหญ้ารอบๆ กับเงาคนทับซ้อนอยู่ด้วยกันวนเวียนอยู่รอบตัวเขาอย่างรวดเร็ว ภาพที่ปรากฏอยู่ต่อสายตาพร่าเลือนหมดสิ้น
แสงอาทิตย์สว่างไสวเจิดจ้าจนเขาลืมตาแทบไม่ขึ้น
หัวคิ้วของเฉินเซ่าขมวดอยู่ด้วยกัน ร่างกายงอโค้งไปทางด้านหน้า สองมือกุมศีรษะ เหงื่อเท่าเม็ดถั่วผุดพรายเต็มหน้าผาก
ความเจ็บปวดรุนแรงราวกับถูกขวานจามใส่นี้เขาคุ้นเคยกับมันดี
ตอนเพิ่งกลับมาถึงจวนกั๋วกงใหม่ๆ ทุกครั้งที่เขาฝืนรำลึกถึงเรื่องราวในอดีต มันก็มักจบลงด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสเช่นนี้
ทว่าครั้งนี้กลับไม่เหมือนกัน
ความเจ็บปวดก่อนหน้านี้ไม่ต่างอะไรกับค้อนหนาหนักฟาดใส่แผ่นเหล็ก แข็งกระด้างอึดอัด คล้ายในหัวถูกของแข็งๆ อะไรบางอย่างแยกออกเป็นสองส่วน แบ่งเขากับความทรงจำที่ขาดหายไปเมื่อแปดปีก่อนไว้คนละโลก
ทว่าในเวลานี้แผ่นเหล็กที่เคยกั้นขวางอยู่ในสมองกลับแหลกสลายลงสิ้นแล้ว
ภายในสมองที่ปั่นป่วนเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรุนแรงนั้นคล้ายมีภาพเลือนรางบิดเบี้ยวยากจะแบ่งแยกชัดเจนปรากฏขึ้น ระคนอยู่กับฟันเลื่อยแหลมคมเจิดจ้าที่กำลังทิ่มแทงขุดลึกลงไปในสมองของเขา
เขาครวญครางเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างไม่อาจฝืน
เฉินเซ่ารู้สึกเอือมระอากับอาการสมองหมุนคว้างที่ระคนอยู่กับความเจ็บปวดราวกับชักกระตุกนั่นเต็มที เขาอาเจียนแห้งๆ อยู่ในลำคอคล้ายจะกระอักเอาอวัยวะภายในทั้งหมดออกมา
เฉินเซ่ากุมหัวแน่น ตาเหลือกขึ้นบน เส้นเลือดปรากฏขึ้นอยู่บนตาขาวเส้นแล้วเส้นเล่า
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนมีแสงเจิดจ้าแสบตาวาดผ่านอยู่ที่ด้านหน้า อะไรบางอย่างขนาดใหญ่กำลังพุ่งตรงเข้ามาติดๆ
เขาพยายามเบิกตากว้าง รักษาสมดุลของร่างกาย หมายหาหนทางแยกแยะถึงที่มาของวัตถุดังกล่าว ต้นไม้ต้นหนึ่ง ดอกไม้ดอกหนึ่ง คนผู้หนึ่ง หรือหญ้าต้นหนึ่ง
สุดท้ายดวงตาที่ถลนออกมาของเขาก็กลับคืนสู่เบ้า เขามองเห็นแล้ว วัตถุที่พุ่งเข้าใส่หน้าเขาเป็นวัตถุสีเหลืองเข้มแกมดำ ด้านบนยังมีสีเขียวปะปน
หลังจากนั้นเจ้าสิ่งนั้นก็กระแทกเข้าใส่ร่างเขาเต็มๆ จมูกของเขาถูกล้อมไว้ด้วยกลิ่นดินเข้มๆ
ท่ามกลางสติสัมปชัญญะรางเลือนของเฉินเซ่า เขาเหมือนจะได้ยินน้ำเสียงกระจ่างชัดคุ้นเคย
“ฉีมามาไปตามท่านโหวน้อยก่อน บอกเขาให้ไปเชิญท่านหมอ พวกเจ้าไปจวนสกุลเผยยืมตั่งไม้มาตัวหนึ่ง แบกท่านพ่อข้าไปที่เรือนประธาน”
น้ำเสียงมั่นคง สงบนิ่ง เยือกเย็น แฝงไว้ซึ่งความมั่นอกมั่นใจของผู้เป็นนาย ไม่ยอมให้ผู้ใดเคลือบแคลงสงสัยดังขึ้น
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเส้นเสียงสงบนิ่งนี้ถึงทำให้เฉินเซ่ารู้สึกผ่อนคลาย คล้ายที่อยู่ข้างกายคือญาติที่สนิทที่สุด
เขาผ่อนลมหายใจออกมาคราหนึ่งก่อนจะหลับตาลงอย่างวางใจ
ก่อนจะถูกความมืดครอบงำ ในที่สุดเขาก็นึกขึ้นได้ เสียงนั่นมาจากบุตรีของตน ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตนเอง
โรคปวดหัวของเขากำเริบขึ้นอีกแล้ว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 25 เม.ย. 66 เวลา 12.00 น.