ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 525-527
บทที่ 525 เจ้าคิดเช่นไร
ตอนเฉินเซ่าฟื้นขึ้นมาอีกครั้งฟ้ายังไม่มืดสนิท ม่านมุ้งถูกเลิกเปิดเผยให้เห็นหน้าต่างฝั่งตรงกันข้ามที่ยามนี้เปิดอ้าอยู่ประมาณสี่นิ้วมือ บดบังกำแพงขาวภายในลานเรือนช่วงหนึ่งไว้ ที่อยู่บนกำแพงคือเถาวัลย์เขียวชอุ่ม ครั้นทอดสายตาสูงขึ้นไปอีกก็จะพบกับท้องฟ้าสีฟ้าจาง มีเมฆบางๆ สีแดงลอยอยู่ทางด้านบน
กลิ่นไม้กฤษณาสงบเย็นลอยละล่องอ้อยอิ่งอยู่บริเวณจมูก หอสูงเสียงพิณก้องกังวาน จันทร์กระจ่างเหนือฟากฟ้าระคนมาพร้อมกับสายลมก่อนจะถูกสายัณห์ตะวันรอนพัดพาจากไป เสียงกระดิ่งแผ่วเบาดังอยู่ที่ข้างหู คล้ายเสียงลมกระซิบ เฉินเซ่าหลับตาฟังอยู่เป็นนานก่อนจะฟังออก ที่แท้นั่นก็เป็นเสียงกระดิ่งพิทักษ์บุปผาต้องลม
เขาถอนหายใจยาวๆ ออกมาคราหนึ่ง
ที่นี่น่าจะเป็นจวนสกุลหลี่ มิใช่จวนสกุลเผย
ขอเพียงมิได้นอนพักอยู่ในบ้านของว่าที่ลูกเขยแค่นี้เขาก็พอใจแล้ว
ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในใจเขาเพียงชั่ววูบก่อนจะค่อยๆ ผสมผเสเปปนจมดิ่งเข้าสู่ห้วงนิทราอีกคราว
ตอนตื่นขึ้นอีกครั้ง แสงสว่างภายในม่านมุ้งอึมครึมลงกว่าเดิมอยู่เล็กน้อย แสงไฟรางเลือนสาดส่องเข้ามา กลิ่นไม้กฤษณาสงบเย็นก่อนหน้านี้จางหายไปหมดสิ้นแล้ว
เขานอนหงายอยู่บนเตียง ขยับคอกวาดตามองไปรอบๆ
ไม่มีอาการวิงเวียน เงามืดที่ปกคลุมทั่วแผ่นฟ้าผืนปฐพีอันใดก็ไม่มีแล้วเช่นกัน หัวสมองกลับกลายเป็นปลอดโปร่งคล้ายทางน้ำที่แออัดอยู่ก่อนหน้าในที่สุดก็พลันเปลี่ยนเป็นโปร่งโล่ง
ทว่าทัศนียภาพตลอดสองข้างทางของทางน้ำนั่นกลับยังคงรางเลือน
หลังจากนอนต่ออยู่อีกระยะหนึ่ง ในที่สุดเฉินเซ่าก็ยันกายลุกขึ้นนั่งและเลิกผ้าห่มออก
“นายท่านตื่นแล้ว?” ทันใดนั้นเสียงของใครบางคนก็ดังขึ้น
หลังจากนั้นม่านมุ้งก็ถูกเลิกขึ้น ใบหน้าเย็นชาของสิงเหว่ยปรากฏอยู่ที่ข้างเตียง
เฉินเซ่ากวาดตามองดูอีกฝ่ายปราดหนึ่ง ก่อนจะยกมือคลายคอเสื้อ เส้นผมดำขลับราวน้ำหมึกไหลลู่ลงมาตกอยู่บนเสื้อตัวกลางขาวสะอาดราวกับหิมะนั่น ท่วงท่าสบายๆ
“เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้” เขาเลิกคิ้ว มุมปากยกเป็นวงโค้งเย็นชา เขาแสร้งทำเป็นตบหน้าผาก “ข้าลืมไป เจ้าคงกลัวว่าจู่ๆ ข้าจะจำอะไรได้ เผลอหลุดปากพูดอะไรออกมา ทำลายแผนการของนายท่านของเจ้า เลยจงใจมาเฝ้าอยู่ที่นี่ ทำตัวเป็นสุนัขซื่อสัตย์ตัวหนึ่ง”
สิงเหว่ยมองดูเขาด้วยสายตาเมินเฉย ทว่ามือกลับเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว เขาเกี่ยวม่านมุ้งเข้ากับตะขอเงิน คุกเข่าลงบนที่รองเท้า หยิบเอารองเท้าลำลองขึ้นมาวางไว้ทางด้านบน “นายท่านหิวหรือไม่ บนเตามีโจ๊กข้าวเหนียวกับวุ้นขนมโก๋อุ่นไว้”
“ยกมาเถอะ เอาผักดองมาด้วย” เฉินเซ่ารู้สึกหิวอยู่แต่แรก เมื่อครู่ตอนลุกขึ้นเพราะนึกอยากกินอะไรบางอย่าง ยามนี้จึงเอ่ยปากสั่งออกไป
สิงเหว่ยถอยจากไป เฉินเซ่าลุกขึ้น หยิบเสื้อคลุมสีม่วงขึ้นมาคลุมร่าง บ่าวตัวน้อยสองคนเดินเข้ามา หลังจากปรนนิบัติช่วยเขาล้างหน้าล้างตาเสร็จ พวกเขาก็จะถอยกลับออกไปเงียบๆ
สิงเหว่ยกลับเข้ามาแล้ว ที่อยู่ทางด้านหลังคือสาวใช้ตัวน้อยหน้าตาหมดจดนางหนึ่ง อายุน่าจะสักสิบกว่าขวบ ในมือถือกล่องอาหารไว้ ทั้งสองช่วยกันเอาโจ๊กและผักดองที่อยู่ภายในออกมาวางลงบนโต๊ะเล็ก หลังจากนั้นสาวใช้ตัวน้อยนางนั้นก็ถอยกลับออกไป ปล่อยสิงเหว่ยให้อยู่รับใช้เฉินเซ่าเพียงลำพัง
“ที่นายท่านพำนักอยู่ในเวลานี้เป็นเรือนในสวนดอกไม้ทางด้านหลังของจวนสกุลหลี่ บรรยากาศเงียบสงัดยิ่ง” สิงเหว่ยสีหน้าราบเรียบไร้ความรู้สึก น้ำเสียงเป็นการเป็นงานยิ่ง
เขาวางโจ๊กขาวราวหิมะครึ่งถ้วยไว้มุมโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยปากพูดต่อ “ตอนบ่ายนายท่านหมดสติอยู่ที่จวนสกุลเผย คุณหนูเชิญท่านหมอมาตรวจอาการของนายท่านก่อน นายท่านหลี่พอทราบข่าวก็รีบสั่งคนให้ไปรับตัวนายท่านกลับมาที่จวน เชิญท่านหมอที่มีชื่อเสียงที่สุดในจี่หนานมาตรวจดูอาการ ท่านหมอทั้งสองต่างบอกว่านายท่านหมดสติเป็นเรื่องดี ไม่แน่ว่าก้อนเลือดนั่นอาจสลายตัวแล้ว เพียงแต่อาการป่วยนี้จำต้องพักรักษาตัวให้มาก ห้ามเหน็ดเหนื่อยตรากตรำพูดจาอันใดมากเกินไป ดังนั้นนายท่านหลี่จึงตัดสินใจให้นายท่านมาพำนักอยู่ที่เรือนจวีสุ่ยนี้”
เฉินเซ่านั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะ กินโจ๊กด้วยท่วงท่างดงาม สีหน้าท่าทางจดจ่อ คล้ายไม่ได้ยินที่อีกฝ่ายพูด
สิงเหว่ยเหมือนไม่นึกใส่ใจ เขายังคงเอ่ยปากว่า “คุณหนู นายท่านหลี่ รวมถึงหลี่ฮูหยินต่างอยู่เฝ้านายท่าน คุณหนูถึงกับเฝ้าคนต้มยาด้วยตนเอง แต่เพราะดึกมากแล้วนายท่านหรือก็หลับสนิท นายท่านหลี่เอ่ยปากเตือนคุณหนูอยู่หลายต่อหลายครั้งคุณหนูถึงยอมกลับไปพักผ่อน ช่วงบ่ายคุณหนูหลี่ คุณชายหลี่ และคุณหนูสกุลเฉินทั้งสองต่างแวะมาเยี่ยมเยียนนายท่าน”
พอพูดถึงตรงนี้ในที่สุดสิงเหว่ยก็เงยหน้า สีหน้าเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าเย็นชานั้น “หากมิใช่เช่นนี้ ผู้น้อยไหนเลยจะมีเวลามาพูดคุยกับนายท่านเช่นนี้ได้”
ยามนี้ตะเกียบของเฉินเซ่ากำลังคีบหน่อไม้สองสามเส้นอยู่ ตะเกียบงาช้างสีขาวหน่อไม้เขียวดุจหยกดูตัดกันยิ่ง
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเฉินเซ่าก็มุมปากยกขึ้นน้อยๆ เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองอีกฝ่าย “เลิกพูดเหลวไหลได้แล้ว! ว่ามา เจ้าคิดเช่นไร” พูดจบเขาก็ส่งหน่อไม้เข้าปากและค่อยๆ เคี้ยว
แม้จะกำลังกินอาหารอยู่แต่กลิ่นอายบนร่างกลับยังคงโดดเดี่ยวสูงส่ง คล้ายที่กินอยู่มิใช่อาหารแดนมนุษย์แต่หากเป็นอาหารทิพย์แดนสวรรค์
สิงเหว่ยจ้องมองดูเขา สายตาเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง “เรื่องราวเมื่อแปดปีก่อนนั้น เจ้าจำได้แล้ว?”
เฉินเซ่าไม่ตอบ ท่าทางของเขาราวกับไม่ได้ยินที่อีกฝ่ายถาม
หลังกินโจ๊กคำสุดท้ายเสร็จ เฉินเซ่าก็วางตะเกียบงาช้างลง เขายกแขนปัดเส้นผมที่ปรกอยู่บนไหล่ มุมปากยกขึ้นอีกครา
“ข้าพอจำได้บ้างแล้วจริงอย่างที่เจ้าว่า” สีหน้าของเขาเลื่อนลอยอยู่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว คล้ายไม่รู้ที่พูดที่คิดเป็นฝันหรือความจริง
สิงเหว่ยสองตาเบิกกว้าง สีหน้ามีแววคาดคั้น เขาเอ่ยปากซัก “เจ้าจำเรื่องอันใดได้ ยามนั้นเจ้าสืบไปได้ถึงที่ใด”
เฉินเซ่าไม่ได้รีบเอ่ยปาก สีหน้าคล้ายหวนรำลึก มือข้างหนึ่งกดอยู่ที่ข้างหน้าผากอย่างไม่รู้ตัว
ทุกครั้งเวลาย้อนคิดเขาก็มักปวดหัวแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ จำเป็นต้องใช้มือกดไว้เพื่อบรรเทาความรู้สึกทุกข์ทรมาน ยามนี้แม้จะไม่ได้เจ็บปวดเยี่ยงนั้นอีก แต่ถึงกระนั้นท่วงท่าการเคลื่อนไหวก็ยังคงเป็นเช่นเก่าตามความคุ้นชิน
เฉินเซ่ากดข้างหน้าผากพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉื่อยเนือย “ข้าจำได้ว่าข้าอยู่ที่ใดสักแห่ง คล้ายพบเจอชายชราที่เคยทำงานเป็นขุนนางอยู่ที่ซานตง ทว่าข้านึกชื่อแซ่เขาไม่ออก แม้แต่รูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไรก็ยังจำไม่ได้แน่ชัด ทว่าข้าจำได้ว่าเขาบอกกับข้าว่ายามนั้นคังอ๋องก่อกบฏ ฝ่าบาททรงกรีธาทัพทำศึกกับเป่ยเจียงด้วยพระองค์เอง อาวุธยุทธภัณฑ์จำนวนมากถูกโยกย้ายจากเมืองหลวงไปเป่ยเจียง แต่มีอยู่ส่วนหนึ่งกลับถูกยักยอกไปยังดินแดนศักดินาของคังอ๋อง”
“ยักยอกอาวุธยุทธภัณฑ์ของฮ่องเต้?” สิงเหว่ยรูม่านตาหดเล็กลง หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน สีหน้าเคร่งขรึมอยู่หลายส่วน
เขาในยามนี้ไหนเลยจะยังมีทีท่าเยี่ยงบ่าวอีก หากจะบอกว่าเขาเป็นขุนนางราชสำนัก ปราชญ์เมธีผู้ล่วงรู้เรื่องราวทั่วหล้าก็หาเกินเลยไม่
“จากที่เจ้าว่า คังอ๋องมีผู้ช่วยอยู่ในราชสำนัก คนผู้นี้ตำแหน่งย่อมไม่ต่ำต้อย” เขาพูดเสียงขรึมก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง สายตาแหลมคมไม่ต่างอันใดกับปลายเข็ม “สืบรู้เรื่องราวสำคัญเช่นนี้ เหตุใดยามนั้นเจ้าถึงไม่กราบทูล”
“แน่นอนว่าย่อมต้องมีสาเหตุ หากแต่ข้าจำไม่ได้ก็เท่านั้น” เฉินเซ่ากระชับเสื้อคลุม สีหน้าท่าทางสงบเยือกเย็นราวกับไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น
สิงเหว่ยหน้าไม่เปลี่ยนสี สายตาแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกเดือดดาลเล็กๆ แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงเก็บความรู้สึกดังกล่าวไว้ได้อยู่ เขาถามว่า “แล้วหลังจากนั้นเล่า”
เฉินเซ่ามองดูอีกฝ่ายด้วยสายตาเย้ยหยันเล็กๆ แต่ถึงกระนั้นเขาก็มิได้พูดยียวนอันใด ทำเพียงเล่าต่อ “เรื่องราวหลังจากนั้นข้าก็จำได้ไม่ชัดแจ้งนัก จำได้ก็แต่ต่อมาข้าสืบพบว่าคนที่ยักยอกอาวุธยุทโธปกรณ์ไว้นั้นคล้ายจะเกี่ยวข้องกับการตายของเผยก่วงในเพลานั้น ดังนั้นข้าจึงปลอมตัวเปลี่ยนน้ำเสียง มุ่งหน้าไปยังแถบหนิงซย่าเพื่อทำการตรวจสอบ…”
“เรื่องนี้เจ้าเคยเล่าอยู่ก่อนหน้าแล้ว” สิงเหว่ยตัดบทเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา สายตาโหดเหี้ยมอยู่หลายส่วน “นายท่านคงไม่คิดบอกผู้น้อยกระมังว่าหลังจากหมดสติไปเนิ่นนานเช่นนี้ เรื่องที่ท่านนึกขึ้นได้กลับมีเพียงกระผีกริ้นเยี่ยงนี้”