ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 525-527 – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 525-527

บทที่ 526 เลือนรางยากแยกแยะ

ครั้นได้ยินเช่นนั้นแทนที่เฉินเซ่าจะโกรธเขากลับแย้มยิ้ม เขานั่งลงที่ข้างเตียง สองมือยันไว้ที่ด้านหลัง แขนเสื้อคลุมแผ่ออกคล้ายระลอกน้ำสีเขียว ขับดุนอยู่กับใบหน้าสงบเยือกเย็นน้ำเสียงเย็นเยียบชวนประหวั่น “หากข้าบอกว่าข้าจำได้เพียงเท่านี้เล่า เจ้าจะทำอันใดข้า”

เฉินเซ่าชำเลืองตามองสิงเหว่ย คิ้วดำขลับข้างหนึ่งของเขาเลิกขึ้น สีหน้าสบายอกสบายใจ “สังหารข้า?”

สิงเหว่ยก้มหน้า น้ำเสียงเมินเฉยยิ่งกว่าเมื่อครู่ “นายท่านของข้าหวังว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป”

ความหมายของคำพูดดังกล่าวคืออันที่จริงเขาไม่แยแสที่จะปลิดชีวิตเฉินเซ่านั่นเอง

เฉินเซ่าหลุดขำออกมาคราหนึ่ง แววตาเย้ยหยัน “นายท่านของเจ้าเมตตาการุณย์ยิ่งนัก แล้วมีหรือจะคิดปลิดชีวิตข้า”

“ช่างเถอะ เรื่องพวกนี้ข้าหาพูดคุยกับเจ้าไม่ จะคุยก็แต่เรื่องในยามนั้น” สิงเหว่ยพูดสั้นกระชับคล้ายไม่ปรารถนาจะต่อปากต่อคำกับเฉินเซ่าอีก เขาเงยหน้า สายตาเย็นเยียบร้างไร้ความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยนอันใด “นอกจากเรื่องนี้แล้ว ยังมีเรื่องอื่นอันใดอีก”

เฉินเซ่าจ้องมองดูอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดริมฝีปากเบาๆ “เจ้าช่างจงรักภักดีต่อนายท่านของเจ้ายิ่งนัก”

เขาส่ายหน้าคล้ายไม่เห็นด้วย ขณะเดียวกันก็คล้ายดูถูกเหยียดหยามไม่พูดอื่นใดอีก หากกลับย้อนพูดถึงเรื่องก่อนหน้านี้

“นอกจากสองเรื่องนั้นแล้ว ข้ายังจำได้ว่าตนเองสืบรู้อีกว่าอาวุธยุทโธปกรณ์ที่คังอ๋องยักยอกไปในครานั้นมีส่วนหนึ่งที่ถูกคนเก็บซ่อนไว้ ว่ากันว่าซ่อนมันไว้บนเขาลูกหนึ่ง ทว่าเขานั้นชื่ออะไรข้าเองก็นึกไม่ออก” แขนเสื้อของเขายังคงยกค้าง ยามนี้กำลังกดอยู่บนมุมหน้าผาก สีหน้าอ่อนล้าปรากฏอยู่บนใบหน้า

แม้จะไม่มีอาการปวดหัวอีก ทว่าครั้นพูดคุยมากๆ เข้าเขาก็ไม่วายรู้สึกหน้ามืดตาลาย คล้ายสติปัญญา กำลัง จิตใจต่างไหลบ่าออกไปตามคำพูด ยามนี้แม้แต่แขนที่ค้ำยันร่างไว้ก็เหมือนจะอ่อนแรงหมดสิ้น

เขากดมุมหน้าผากหยุดพักอยู่ครู่หนึ่ง เหยียดยืดแขนขา

ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฉินเซ่าเพียงสอดเท้าเข้าไปในรองเท้าเท่านั้น ครั้นเหยียดยืดขาออกมาเช่นนั้น รองเท้าก็แกว่งไกวไปมาคล้ายพร้อมจะหล่นลงมาได้ทุกเมื่อ

“ถอดรองเท้า” เฉินเซ่าขึ้นเสียงเอ่ยปากเกียจคร้าน ยกมือลูบเส้นผม ภายใต้แสงเทียนรางเลือนแลดูเปี่ยมเสน่ห์อย่างน่าประหลาด

สิงเหว่ยตะลึงงันไปชั่วขณะ จู่ๆ สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนเป็นอาฆาตแค้น

ทว่าท่าทีผูกพยาบาทนั้นกลับปรากฏอยู่บนใบหน้าเท่านั้น ท่าทางการเคลื่อนไหวของเขากลับโอนอ่อนผ่อนตามยิ่ง การตอบสนองฉับไวรวดเร็ว

เขาขยับขึ้นหน้า คุกเข่าอยู่หน้าที่วางเท้าช่วยเฉินเซ่าถอดรองเท้าก่อนจะเอ่ยปากถามเสียงแผ่ว “นายท่านต้องการพักผ่อน?”

“ข้านอนพอแล้ว อยากนั่งสักครู่ เจ้าไปเอาหมอนอิงมา ข้าอยากได้ที่พิงหลังสักหน่อย” เฉินเซ่าสีหน้าเกียจคร้าน เชิดคางชี้ไปที่หัวเตียงอย่างไม่อินังขังขอบ

สิงเหว่ยเข้าใจได้ทันที เขาขานรับออกมาคำหนึ่งพร้อมเดินไปที่ห้องข้าง เพียงไม่นานเขาก็โอบหมอนอิงปักด้ายดำขนาดใหญ่ใบหนึ่งเข้ามา วางมันลงบนหัวเตียงอย่างระมัดระวัง ก่อนจะถามขึ้นอีกครั้ง “นายท่านต้องการเพิ่มแสงสว่างอีกหรือไม่”

“ไม่ต้อง เช่นนี้ก็ได้แล้ว” เฉินเซ่าขยับตัวนั่งเข้าไปเล็กน้อย พิงร่างเข้ากับหมอนอิง โบกมือไม่ยินดียินร้าย

สิงเหว่ยถอยออกไปด้วยท่าทีนอบน้อม แต่มิได้จากไปที่ใดไกล หากยังคงยืนอยู่ที่ข้างเตียง ท่าทางคล้ายต่ำต้อยยิ่ง ทว่าตอนเปิดปากน้ำเสียงกลับเย็นชาเมินเฉย

“หลังจากคิดๆ ดู คำพูดของเจ้านี้เหมือนจะไม่ใช่ความจริงทั้งหมด” เขาเบ้มุมปากช้อนตาขึ้นมองเฉินเซ่า

แสงไฟสลัวๆ สีหน้าของเขาอึมครึมไม่ชัดแจ้ง แลดูแปลกประหลาดอยู่หลายส่วน “ก่อนหน้านี้เจ้าเคยบอกว่าตอนเดินทางไปละแวกเขาสือจุ่ย จู่ๆ เจ้าก็สูญเสียความทรงจำ ตอนได้สติขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าก็มาอยู่นอกเมืองหลินเจียงแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเรื่องโยกย้ายอาวุธยุทธภัณฑ์ที่เจ้าพูดถึงก็ต้องเกิดขึ้นก่อนเจ้าเดินทางไปเขาสือจุ่ย พูดอีกนัยหนึ่งก็คือก่อนเจ้าสูญเสียความทรงจำ แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่พูดเรื่องนี้แต่เนิ่นๆ”

คำพูดของอีกฝ่ายทำเฉินเซ่าตกตะลึง ครั้นเขาย้อนคิดดูโดยละเอียดก็เหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ

ว่ากันตามหลักแล้ว เรื่องก่อนเดินทางไปเขาสือจุ่ยมิได้อยู่บนเส้นเวลาเดียวกับการสูญเสียความทรงจำ แต่เขากลับลืมเรื่องอาวุธยุทธภัณฑ์พวกนั้นไปจนสิ้น

เขาขมวดหัวคิ้ว พยายามนึกถึงเส้นสายของเหตุการณ์ ทันใดนั้นภาพเหตุการณ์บางอย่างก็ฉายวาบขึ้นในหัวสมองของเขา ภาพเหตุการณ์ที่ว่ามีชายผู้หนึ่งกำลังพูดคุยกับเขาอยู่

“มีชายผู้หนึ่ง…” เขาขยับริมฝีปากกล่าว น้ำเสียงกระจ่างชัดแฝงไว้ซึ่งเส้นเสียงแหบพร่าเล็กๆ คล้ายเสียงกระซิบ

สิงเหว่ยสีหน้าจดจ่อ เขารีบกดเสียงถาม “ชายผู้หนึ่งอะไร เขาเป็นใคร แล้วรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร”

เฉินเซ่ากดมุมหน้าผาก พยายามขุดความทรงจำที่ซ่อนลึกอยู่ในสมองอย่างสุดกำลัง

ทว่าสุดท้ายเขาก็ยังคงเสียแรงเปล่า

ใบหน้าของชายผู้นั้นเลือนราง น้ำเสียงก็เช่นกัน ที่เขาพอจำได้ก็มีแต่ปากที่ขยับเปิดๆ ปิดๆ นั่น

เฉินเซ่าฟันขบเข้าหากันแน่น เหงื่อเย็นไหลซึมออกมาจากที่ข้างหน้าผาก

เงาร่างของชายผู้นั้นเลือนรางมากขึ้นทุกที ภาพตรงหน้าคล้ายเต็มไปด้วยหมอกหนา ทุกสิ่งอย่างกลับกลายเป็นจุดแสง กะพริบระยิบระยับ เต้นไหวไปมา ยากเกินกว่าจะแยกแยะ

เฉินเซ่าเหมือนย่างเท้าเข้าไปอยู่กลางหมอก สองเท้าเชื่องช้า ร่างกายหนักอึ้ง ทุกย่างก้าวล้วนเป็นไปด้วยความยากลำบาก แต่เขากลับไม่ยอมหยุดเท้า ยังคงเดินขึ้นหน้าไปทีละก้าว หมายทำลายม่านหมอก มองดูใบหน้าของอีกฝ่ายให้ชัดถนัดตา

ทันใดนั้นความรู้สึกเจ็บปวดก็เสียดแทงหัวสมองเขาฉับพลัน เฉินเซ่าสองมือกุมศีรษะ ร่างกายขดงอ สองตาเหลือกถลน

จุดสว่างตรงหน้าส่ายไหว รวมตัวกลายเป็นเส้นแสง หมุนวนอยู่รอบตัวเขา

ความรู้สึกคล้ายจวนเจียนถูกความมืดมิดกลืนกินนั้นทำให้เฉินเซ่าไร้สิ้นเรี่ยวแรง

ในเวลาเดียวกัน เสียงเสียงหนึ่งกลับพร่ำบอกเขา ความเจ็บปวดนี้สามารถควบคุมได้ ขอเพียงเขาไม่คิดอีก ไม่พยายามหวนระลึกถึง ปล่อยให้อดีตเหล่านั้นหวนย้อนกลับมาในเวลาอันสมควร เช่นนั้นความเจ็บปวดเยี่ยงนี้ย่อมไม่เกิดขึ้น

ครั้นคิดได้เช่นนี้เขาก็รีบหยุดฝีเท้า หมอกหนาและทุกสิ่งอย่างที่อยู่ภายในล้วนมลายหายไปจนสิ้น

“…นายท่านๆ ท่านเป็นอะไรไป ปวดหัวขึ้นมาอีกแล้วใช่หรือไม่” คลื่นเสียงระลอกแล้วระลอกเล่าดังอยู่ข้างๆ จากเลือนรางกลับกลายเป็นกระจ่างชัด จนสุดท้ายก็ดังสะเทือนเลื่อนลั่นเข้ามาในหู

เฉินเซ่าเบิกตาโพลง ภาพตรงหน้าจู่ๆ ก็ปรากฏชัด

ห้องมืดสลัว แสงเทียนริบหรี่ สายลมเย็น เสียงกระดิ่งพิทักษ์บุปผาที่ดังแผ่วอยู่ที่นอกหน้าต่าง รวมถึงใบหน้าคุ้นเคยน่ารังเกียจตรงหน้า

เฉินเซ่าถอนหายใจเบาๆ เสื้อตัวกลางบนร่างของเขายามนี้เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ แต่ถึงกระนั้นเขาก็มิได้เป็นลมหมดสติไปอีก

“หากเหนื่อยแล้ว เจ้าก็หาจำเป็นต้องคิดต่อไม่” สิงเหว่ยพิจารณาดูเฉินเซ่า นัยน์ตาแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกอับจน เพียงแต่คำสั่งของผู้เป็นนายมิอาจมิเชื่อฟัง เฉินเซ่าผู้นี้แม้จะน่ารังเกียจยิ่งนัก ทว่าในสายตาของนายท่านของเขา ไมตรีจิตที่มอบให้อีกฝ่ายกลับไม่ธรรมดา

สิงเหว่ยทั้งอิจฉาทั้งริษยาและหยามเหยียดอีกฝ่ายอยู่หลายส่วน

หากมิใช่เพราะนายท่านแล้วล่ะก็ เฉินเซ่าผู้นี้ต่อให้มีสิบชีวิตก็ไม่พอตาย

“ทำไม หรือเจ้าไม่พอใจ?” น้ำเสียงเย็นเยียบดั่งเสียงพิณแหวกผ่านความมืดเงียบงัน ทั้งอ้างว้างทั้งกระจ่างชัด

สิงเหว่ยสองตาวับวาวเป็นประกาย เขาก้มหน้าลง “ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าพูดอันใด”

“ทว่าข้ากลับรู้สึกว่าเจ้าเข้าใจ” เฉินเซ่าพูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม สายตากลับทอดมองไปที่นอกหน้าต่าง จู่ๆ เขาก็ถอนหายใจ “นายท่านของเจ้าเป็นพวกบ้าระห่ำโดยแท้”

สีหน้าท่าทางของเฉินเซ่ายากจะบรรยาย น้ำเสียงอึมครึม หลังพูดจบเขาก็ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง “เพียงแต่มีบางครั้งข้าก็อดนับถือในปณิธานของนายท่านของเจ้าไม่ได้ ทว่าความฝันงดงามที่จะให้ผู้คนทั่วหล้าได้มีผลประโยชน์ร่วมกัน มีการกระจายอำนาจไปสู่พวกชาวบ้านนั้นสามารถเป็นจริงได้กระนั้นหรือ”

“นายท่านบอกแล้วว่าเรื่องนี้จะสำเร็จได้จำต้องใช้เวลาหลายยุคหลายสมัย หาใช่เรื่องง่ายดายเยี่ยงปอกกล้วยเข้าปากไม่” สิงเหว่ยตอบด้วยน้ำเสียงเฉยชา สายตาหยามเหยียดชำเลืองมองไปที่พื้น

สภาพร่างกายของเฉินเซ่าในยามนี้ทำเอาเขาไม่กล้าพูดเพ้อเจ้ออันใด เพราะเกรงจะนำมาซึ่งเรื่องยุ่งยาก

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com