ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 525-527
บทที่ 527 ไม่เคยพบพาน
หน้าต่างฉลุลายเปิดไว้ครึ่งหนึ่ง ลมราตรีพัดแผ่ว อากาศเย็นสบาย โคมผ้าโปร่งสีแดงใต้ชายคาระเบียงส่ายไหวตามลม ห่างออกไปอีกเล็กน้อยเถาวัลย์กับกำแพงขาวล้วนจมหายเข้าไปท่ามกลางความมืดมิด ดาวดวงหนึ่งแขวนตัวอยู่กลางฟากฟ้า อ้างว้างคล้ายไฝน้ำตาบนใบหน้าโฉมสะคราญ
เฉินเซ่าเหยียดแขนเลิกม่านมุ้งออก ทอดสายตามองดูดาวดวงนั้น หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็พูดเสียงแผ่วเบาออกมาประโยคหนึ่ง “ต้าฉู่ในยามนี้ยังดีไม่พออีกกระนั้นหรือ”
“หรือว่าเจ้ารู้สึกว่าดี?” สิงเหว่ยยิ้มหยันพร้อมเอ่ยปากย้อนถาม ในดวงตาเฉยชานั้นแฝงไว้ซึ่งแววตาถากถาง “อะไรคือโอรสสวรรค์ อะไรคือทั่วหล้า อาศัยแค่สกุลของคนผู้หนึ่งก็ขึ้นไปอยู่เหนือกว่าผู้คนนับหมื่นพัน เสวยสุขจากการเลี้ยงดูของผู้คนนับร้อยนับพันหมื่น แต่กลับดูแคลนชาวบ้านเยี่ยงหมูหมากาไก่ นี่หรือคือสิ่งที่เรียกว่าเมตตาแห่งสวรรค์ นี่หรือคือความเจริญรุ่งเรืองที่สวรรค์ประทานให้”
เขาเบ้ปากอย่างหนักหน่วงจนกล้ามเนื้อมุมปากถึงกับกระตุก
“ไม่ต้องพูดอื่นไกล เอาแค่องค์หญิงใหญ่ผู้สูงส่งที่พัวพันกับสกุลของเจ้า เจ้าเห็นนางเป็นเช่นไร” เขาเอ่ยปาก สีหน้าพลันเดือดดาล
เขามองมาทางเฉินเซ่าก่อนจะพูดต่ออย่างรวดเร็ว “องค์หญิงพวกนี้เห็นอยู่ชัดๆ ว่าล้วนเห็นชีวิตคนดั่งต้นไม้ใบหญ้า เป็นพวกคนถ่อยเย่อหยิ่งจองหองไร้มารยาท! พฤติกรรมเลวทรามน่ารังเกียจ อุปนิสัยเยี่ยงอันธพาล คุณธรรมความประพฤติอันใดล้วนสกปรกโสมม มิคู่ควรเป็นมนุษย์! ทว่าเพราะพวกเขาเกิดอยู่ในราชสกุล มีสิ่งที่เรียกว่า ‘สายเลือดอันสูงส่ง’ ทำให้พวกนางกระทำความชั่วได้ครั้งแล้วครั้งเล่า โทษทัณฑ์ที่ได้รับก็ล้วนแต่การคุกเข่าลงโทษเบาๆ กักบริเวณ ริบกิจการที่ไม่เกี่ยวอันใดกับตนเอง ก็เพียงแค่นี้เท่านั้น ช่างบัดซบโดยแท้!”
เขาถ่มน้ำลายลงพื้นเต็มแรง ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเย้ยหยันดูแคลน “นอกจากพวกเชื้อพระวงศ์แล้ว พวกขุนนางเล่าเป็นเช่นไร ที่ว่ากันว่า ‘สุภาพชนทำการใดล้วนยึดถือสัจธรรมมิใช่สมัครพรรคพวก’ มันเป็นเช่นนั้นจริงกระนั้นหรือ เจ้าลองพิจารณาดูเหล่าขุนนางราชสำนักพวกนั้น คนที่ไม่มีพรรคไม่มีพวกต่างล้วนไม่มีที่ให้หยัดยืนด้วยกันทั้งสิ้น พวกเขาต่างประหัตประหารกันเอง เทียบกับชาวบ้านทั่วหล้าแล้ว สมัครพรรคพวกต่างหากถึงจะสำคัญที่สุด หากไม่ใช่พวกเดียวกันย่อมต้องสังหารให้ด่าวดิ้น มีใครบ้างที่ใส่ใจชาวประชาทั่วหล้าแท้จริง”
พอพูดถึงจุดนี้เขาก็สองแก้มแดงระเรื่อ นัยน์ตาแดงก่ำ จ้องเฉินเซ่าเขม็ง “ไหนเจ้าลองบอกข้าซิว่าที่บอกว่าฮ่องเต้ทำผิดโทษเท่าสามัญชนนั้นเคยเกิดขึ้นกระนั้นหรือ ที่บอกว่าใช้เมตตาการุณย์ต่อชาวประชานั้นเคยมีให้เห็นบ้างหรือไม่ ที่ว่ากันว่าชาวประชาอยู่ดีกินดี ทุกคนล้วนร่มเย็นเป็นสุขนั้นมีจริงหรือไร”
เสียงของเขาก็แผ่วเบาทุ้มต่ำลงทุกที ครั้นพูดจบเขาก็ทอดถอนใจ คล้ายคำถามสามคำถามนี้กินแรงกายแรงใจของเขาไปจนหมดสิ้น
หลังจากนั้นเขาก็หลับตาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สายลมยามค่ำเย็นเยียบ แทรกลึกเข้าไปถึงปอดถึงหัวใจ
ในที่สุดสิงเหว่ยก็จำได้ว่าเขาทำงานเป็นบ่าวอยู่ในจวนสกุลเฉิน เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่ โกหกเรื่องอายุและชาติกำเนิด ไม่เคยเป็นตัวของตนเองอีก
คืนค่ำเย็นยะเยือกเงียบสงัดนี้ต่างหากถึงเป็นความจริงที่เขาจำเป็นต้องเผชิญ
เขาลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
ทันใดนั้นความรู้สึกเดือดดาล เย้ยหยันถากถาง ไม่ยินยอมก็ถอยออกจากร่างเขาไปราวกับสายน้ำ ที่เข้ามาแทนที่กลับเป็นท่าทีเมินเฉยเหมือนอย่างเช่นทุกครั้ง
“ช่างเถอะ เจ้าเกิดอยู่ในครอบครัวผู้รากมากดี เติบโตอยู่บนผืนดินงดงาม ไหนเลยจะเข้าใจถึงความลำบากของบัณฑิต…ชาวบ้านอย่างพวกข้า” เขาม้วนแขนเสื้อหลุบตา กลับมาเป็นบ่าวผู้นอบน้อมผู้นั้น
หากมินับถ้อยความวาจาที่เขาพูด ท่าทางเยี่ยงนี้ก็นับว่าสมควรกับตำแหน่งบ่าวของเขาแล้ว
“พูดอยู่เป็นนาน สุดท้ายก็มีแต่ ‘เรื่องยักยอกอาวุธยุทธภัณฑ์’ เท่านั้นที่ฟังดูเข้าท่า อย่างอื่นเล่า” สิงเหว่ยน้ำเสียงราบเรียบ สองตาไม่กะพริบ “เจ้าหายตัวไปแปดปีเต็ม ระหว่างนี้นอกจากทำชลประทานแก้ไขปัญหาน้ำท่วม สร้างเขื่อนแล้ว ไม่มีอย่างอื่นจริงกระนั้นหรือ”
เสียงของเขาแม้จะแผ่วเบาทว่าน้ำเสียงกลับหนักแน่นเปี่ยมกำลัง แฝงไว้ซึ่งท่าทีเร่งร้อนอยู่สองสามส่วน “เรื่องที่นายท่านสั่งให้เจ้าสืบในยามนั้น เห็นชัดอยู่ว่า…”
“เงินทองที่คังอ๋องเหลือทิ้งไว้พวกนั้น” เฉินเซ่าเอ่ยปากพูดตัดบท ไม่ยอมให้สิงเหว่ยได้พูดจบ น้ำเสียงลากยาวสงบนิ่งเหมือนดั่งเสียงลมพัดแผ่วเบา
เขาเพ่งตามอง รอยยิ้มบนริมฝีปากคล้ายเย็นเยียบคล้ายอบอุ่น “ข้าจำเรื่องนี้ได้ อีกทั้งยังสืบได้ความแล้วด้วย”
“อะไรนะ” สิงเหว่ยเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว สองตาเบิกกว้าง ดวงตาฉายแววไม่นึกอยากเชื่อ “เรื่องนี้เป็นความจริงกระนั้นหรือ เจ้าสืบได้ความแล้ว? คงไม่ใช่คิดจะโกหกหลอกลวงนายท่านกระมัง”
เขาจ้องเฉินเซ่าเขม็งราวกับหมายมองให้ทะลุอะไรบางอย่าง
เฉินเซ่าไม่เอ่ยปากต่อความ เขาลุกขึ้นเอ่ยปากสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ไปตักน้ำมา”
สิงเหว่ยตะลึงงันไปชั่วขณะ แต่หลังจากนั้นเพียงอึดใจ สีหน้าท่าทางของเขาก็กลับกลายเป็นอาฆาตแค้น
“เจ้าเป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก คิดจะยั่วข้าหรือไร” เขามองเฉินเซ่าด้วยสายตาเดือดดาล ความรู้สึกโกรธแค้นที่ถูกทาบทับไว้แทบจะทะลักล้นออกมาจากร่าง “พูดคุยเรื่องเป็นการเป็นงานกันอยู่ดีๆ แล้วเพราะเหตุใดถึงต้องวางท่าเสแสร้งด้วย หรือว่าเจ้าในเวลานี้คิดขัดคำสั่งนายท่านจริงๆ”
“เจ้าโง่” เฉินเซ่ากวาดตามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา กระชับเสื้อคลุมบนร่าง ชักเท้าเดินไปที่ข้างโต๊ะ ยกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว
ตึง
หน้าต่างถูกปิดลง ภาพแสงดาวค่ำคืนฤดูใบไม้ผลิเต็มลานเรือนถูกบดบังจนหมดสิ้น
“ยังไม่รีบไปอีก” สายตาของเขาไม่จับอยู่บนร่างของสิงเหว่ยอีกต่อไป น้ำเสียงกลับเสมือนเย้ยหยัน “หากยังชักช้าอยู่อีก บางทีข้าอาจลืมเรื่องราวพวกนั้นไปก็เป็นได้”
สิงเหว่ยตะลึงอีกครา เขาตระหนักได้ทันที ที่เฉินเซ่าบอกว่า ‘เอาน้ำมา’ มิใช่เพราะต้องการล้างหน้าบ้วนปากเข้านอน แต่หากต้องการใช้เขียนหนังสือ
ล้างพู่กันฝนหมึกย่อมต้องใช้น้ำสะอาด เฉินเซ่าจงใจพูดคลุมเครือ หลอกเขาเล่นเหมือนเห็นเขาเป็นลิงตัวหนึ่ง
สีหน้าของสิงเหว่ยกลับกลายเป็นบูดบึ้ง ทว่าหลังจากคิดถึงคำพูดของเฉินเซ่าอีกครา เขาก็อดตื่นเต้นยินดีไม่ได้
หากสามารถครอบครองทรัพย์สินเงินทองของคังอ๋องพวกนั้นได้ ‘การใหญ่’ ของนายท่านย่อมเป็นจริงได้ในไม่ช้า
ครั้นนึกได้เช่นนั้นใจเขาก็ราวกับมีไฟลุกโชน เผาไหม้จนเขาแทบไม่มีสติ
สิงเหว่ยชักเท้าเดินขึ้นหน้า แต่แล้วจู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าพู่กันแท่งหมึกน้ำสะอาดล้วนอยู่ในห้องหนังสือที่อยู่ยังห้องข้างฝั่งตะวันตก เขาหันเดินไปที่ข้างประตู เลิกม่านชักเท้าก้าวข้ามธรณีประตูไปอย่างรวดเร็ว เสียงฝีเท้าลับหายไปจากนอกม่าน
จนถึงยามนี้เฉินเซ่าถึงเพิ่งจะหันหน้ากลับมา รอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าจางหายหมดสิ้นแล้ว เหลือก็แต่สีหน้าเลอะเลือนฉงนสนเท่ห์
“อำนาจฮ่องเต้แบ่งแยกทั่วหล้า ราชนิกุลและชาวบ้าน…ใช้คนปกครองทั่วหล้า มิสู้ปกครองทั่วหล้าด้วยระบบ”
ตอนอายุยังน้อยคิดอ่านบุ่มบ่าม เขาเองก็เคยหมกมุ่นกับความคิดเช่นนี้ ดังนั้นจึงยินดีเป็นม้าเป็นสุนัขทุ่มเทเพื่อผู้เป็นนาย ยอมห้อตะบึงอย่างสุดกำลังเพื่อ ‘นายท่าน’
แม้แต่การทำงานอยู่ในกรมโยธาก็ล้วนเป็นไปตามคำสั่งของ ‘นายท่าน’ เพราะขุนนางกรมโยธาบ่อยครั้งต้องออกไปทำงานข้างนอก บางทีปีหนึ่งๆ อาจมีถึงครึ่งปีที่ไม่ได้กลับบ้าน จึงสะดวกต่อการปฏิบัติภารกิจลับ
เฉินเซ่าในยามนั้นมองเห็นทุกสิ่งอย่างเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เช่นเดียวกับสิงเหว่ยในยามนี้
ทว่าคนเราย่อมมีการเปลี่ยนแปลง
เมื่อวันเวลาผันผ่าน ประสบการณ์เพิ่มพูน เฉินเซ่าก็เริ่มนึกสงสัย ทุกสิ่งอย่างที่เขาปฏิบัติตามนั้นแท้จริงแล้วเป็นวาจาโกหกหลอกลวงหรือเป็นสัจธรรมกันแน่
คำถามนี้เขาครุ่นคิดมานานถึงสิบกว่าปี ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งรู้สึกว่า ‘นายท่าน’ ผู้นี้ที่แท้ก็คือ ‘โอรสสวรรค์’ ในอีกความหมายหนึ่งมิใช่หรือไร ส่วน ‘สัจธรรม’ ที่เขายกย่องสรรเสริญที่แท้ก็คือ ‘โอรสสวรรค์มาก่อน ขุนนางเป็นรอง ชาวบ้านท้ายสุด’
มันก็แค่การเปลี่ยนวิธีเรียกขานเท่านั้น
ตอนครุ่นคิดเข้าใจถึงเรื่องนี้ เฉินเซ่าก็รู้สึกอัปยศอดสูที่ถูกหลอกลวง
อาศัยคำว่า ‘สัจธรรม’ ที่เหมือนจะถูกต้องแต่ความเป็นจริงแล้วกลับไม่ใช่ อีกทั้งยังล่อลวงให้เขากลายเป็นเขี้ยวเล็บ นี่เป็นสิ่งที่เขารู้สึกต่อ ‘นายท่าน’ เมื่อแปดปีก่อน
ด้วยเหตุนี้เขาจึงจงใจละทิ้งตำแหน่งอาจารย์แห่งตำหนักบูรพา ทำให้ ‘นายท่าน’ ผู้นั้นผิดหวังอย่างยิ่งยวด
ทว่าการเคลื่อนไหวของ ‘นายท่าน’ หลังจากนั้นกลับทำเขาไม่เข้าใจ
ไม่ต่อต้าน ไม่ก่อกบฏ มองดูคังอ๋องอันอ๋องไม่ต่างอันใดกับขุนนางชั่วช้าคิดคดทรยศ หลายปีมานี้ ‘สมาคมเฟิงกู่’ จึงไม่เคยทำอันใดรบกวนการบริหารราชการแผ่นดินเลย
เพราะเหตุใดกัน
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 เม.ย. 66 เวลา 12.00 น.