ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 528-530
บทที่ 528 ลาก่อนเยี่ยชิง
หลังเดินทางกลับเซิ่งจิง ความรู้สึกเคลือบแคลงสงสัยนี้ก็วนเวียนอยู่ในใจของเฉินเซ่าเรื่อยมา
องค์กรที่ปรารถนาจะ ‘ใช้ระบบปกครองทั่วหล้า’ ปณิธานของพวกเขาย่อมไม่เล็กจ้อย ทว่าพวกเขาคล้ายมิได้นำพาแผ่นดินต้าฉู่เลยแม้แต่น้อย
แต่หากพิจารณาจากสมาชิกที่เข้าร่วมกับ ‘สมาคมเฟิงกู่’ เท่าที่เฉินเซ่ารู้ บ้างก็เป็นปัญญาชนเลือดร้อนเยี่ยงเฉินเซ่า บ้างก็เป็นคนหนุ่มสาวผู้มีปณิธาน ไม่ก็เป็นบัณฑิตตกยากผู้มีความรู้ความสามารถทว่าชีวิตอัตคัดขัดสน ชาวบ้านทั่วไปกลับพบเจอได้น้อยนัก
คนอย่างเถ้าแก่ ‘ร้านเสื้อผ้าเก่าเฉิงจี้’ เกรงว่าแม้ตายก็ไม่มีทางรู้ว่าตนเองเคยจับพลัดจับผลูร่วมมือทำงานรับใช้กลุ่มดังกล่าว
ความรู้สึกฉงนสนเท่ห์ของเฉินเซ่าเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้นก็ด้วยเพราะเหตุนี้
เพราะคำว่า ‘สัจธรรม’ นั้นศักดิ์สิทธิ์เกินไป ศักดิ์สิทธิ์ถึงขนาดที่ไม่อาจล่อลวงด้วยผลประโยชน์ของแว่นแคว้น หรือเพราะตัวเขาเองต่ำช้าเกินไป ถึงเข้าใจคำว่า ‘สัจธรรม’ ของนายท่านผิดไป
ความคิดอ่านสองประการนี้ต่อสู้อยู่ด้วยกันทั้งเช้าค่ำไม่มีหยุดหย่อน จนทำให้ความคิดของเฉินเซ่าสั่นคลอน
ยอมทุ่มเททุกสิ่งอย่างเพื่อเป้าหมายที่แทบจะไม่อาจสำเร็จเป็นจริงได้ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ถูกหรือผิดกันแน่
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่เรียกว่าเป้าหมายนี้เป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ เป็นสิ่งที่ดูดีเพียงเปลือกนอก หรืออันที่จริงมันเป็นความคิดอ่านสูงส่งเกินกว่าที่คนธรรมดาทั่วไปจะเข้าใจได้อยู่แต่แรก ทำให้คนไม่อาจศึกษาเข้าใจได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง
กึก
เสียงดังลอยมาจากนอกประตู เฉินเซ่าคล้ายตื่นจากภวังค์ เขาหันหน้ามองไป พบสิงเหว่ยกำลังประคองแท่งหมึกพู่กันและอื่นๆ เดินเข้ามา
“นายท่านโปรดรอสักครู่ ผู้น้อยจะลงมือฝนหมึกเดี๋ยวนี้” เขาปิดประตูลงอย่างระมัดระวัง แล้วปิดม่านประตูตาม ก่อนจะเดินมาที่ข้างโต๊ะและค้อมกายกล่าว
เขาในเวลานี้ทั้งนอบน้อมทั้งรอบคอบ ไม่ต่างอันใดกับบ่าวไพร่ทั่วหล้า ไม่คล้ายมนุษย์แต่หากกลายเป็นเครื่องมือชิ้นหนึ่งให้ผู้เป็นนายใช้สอย สามารถโยนทิ้ง แทนที่ หรือแม้แต่กำจัดทิ้งได้ทุกเมื่อ
เฉินเซ่าส่งเสียง “อืม” แผ่วเบาออกมาคราหนึ่งพลางกระชับเสื้อคลุมบนร่าง
ยามนี้ที่หยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะคือเงาร่างโอหังอวดดี ใบหน้างดงามถูกแสงเทียนส่องสะท้อนเกิดเป็นภาพบัดเดี๋ยวมืดบัดเดี๋ยวสว่าง คล้ายกำลังผสานอยู่กับความมืด
สิงเหว่ยกวาดตามองดูอีกฝ่ายด้วยหางตา ในใจยิ้มหยัน ทว่าใบหน้ากลับร้างไร้ความรู้สึก วางกระดาษฉานอี้* ลงบนโต๊ะก่อนจะลงมือฝนแท่งหมึก
เสียงพู่กันเล็กละเอียดขยับไหวดังอยู่ภายในห้อง กระจ่างใสเงียบเหงา คล้ายเรือน้อยลำหนึ่งแล่นฝ่าความมืดเยี่ยงหมึกดำไปอย่างช้าๆ
คืนนี้โคมไฟในเรือนจวีสุ่ยยังคงสว่างไสว เพราะมองเห็นอยู่แต่ไกล หญิงรับใช้สูงวัยเดินยามกลางคืนประจำจวนสกุลหลี่จึงไม่กล้ารบกวน
ใต้เท้าข้าหลวงหลี่เหิงได้สั่งอยู่ก่อนแล้วว่าห้ามไม่ให้ทุกคนรบกวนความสงบของผู้เป็นน้องเขย หากผู้ใดขัดคำสั่งจะถูกลงโทษอย่างหนัก ด้วยเพราะเหตุนี้จึงไม่มีบ่าวไพร่คนใดกล้าฝ่าฝืน
สามวันต่อมา อาการป่วยของเฉินเซ่าก็ดีขึ้น เคลื่อนไหวนั่งนอนได้ไม่ต่างอันใดกับคนปกติ
ตามความคิดเห็นของเฉินเซ่า ยาเหล่านั้นหามีความจำเป็นต้องกินต่อไม่ ทั้งนี้เพราะกินไปก็ไม่มีประโยชน์
ทว่าหลี่เหิงกลับกลัวว่าจะเกิดเรื่องอันใดไม่ดีขึ้นจึงเชิญท่านหมอผู้มีชื่อเสียงมาช่วยจัดยาบำรุงให้ ทุกวันดื่มวันละหนึ่งถ้วย ฤทธิ์ของมันนับว่าไม่ธรรมดา สีหน้าของเฉินเซ่าแดงระเรื่อขึ้นทุกวัน ดีกว่ากินยาที่บรรดาหมอหลวงในเมืองหลวงจัดให้หลายเท่านัก
หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน อาการป่วยของเขาก็กลับมาเป็นปกติ
ด้านเฉินอิ๋งเพราะได้รับความเห็นชอบจากเหล่าผู้อาวุโส นางจึงมีโอกาสเดินทางกลับไปที่สำนักศึกษาสตรี
จี่หนานต้นฤดูร้อนทัศนียภาพงดงาม ต้นท้อข้างประตูเมืองออกดอกผลิบาน แม้จะไม่มากนัก แต่เมื่อผสานอยู่กับสายฝนเล็กละเอียดดุจหมอก ประจวบกับเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ เสน่ห์ของมันแทนที่จะถูกลดทอน ตรงกันข้ามกลับเพิ่มพูนน่าสนใจมากเป็นพิเศษ
เฉินอิ๋งเป็นพวกลัทธิเหตุผลนิยม ทุกอย่างในสายตาของนางมิใช่ภาพระทมทุกข์แห่งใบไม้ผลิ แต่หากเป็นพลังชีวิตแห่งฤดูร้อนที่ชวนให้คนรู้สึกปลื้มปริ่ม
ตอนออกจากจี่หนานไปใหม่ๆ นางไม่เคยนึกว่าจะเดินทางจากไปนานเช่นนี้ กว่าจะได้กลับมาสำนักศึกษาสตรีอีกครั้งก็ต้องรอถึงหนึ่งปี การเฝ้ารอมุ่งหวังเช่นนั้น สำหรับนางแล้วนับว่าเนิ่นนานยิ่งนัก
ทว่านางก็มิได้ปลาบปลื้มยินดีหัวปักหัวปำแต่ประการใด โดยเฉพาะหลังรถม้าเคลื่อนพ้นประตูเมือง สีหน้าของนางจู่ๆ ก็กลับกลายเป็นเคร่งขรึม
“หยุดอยู่ที่นี่ก่อน ข้ามีนัดกับใครบางคน” ข้างถนนสายเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยต้นหลิวนั้นยามนี้ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกฝนเม็ดเล็กสายลมโถมถา
เฉินอิ๋งสั่งให้เจิ้งโซ่วหยุดรถม้า ก่อนจะบอกกับสวินเจินและจือสือ “ข้าต้องลงรถไปพบคนผู้หนึ่ง พวกเจ้าสองคนรออยู่ที่นี่”
พอได้ยินเช่นนั้นสวินเจินก็ออกอาการไม่พอใจขึ้นมาทันที นางป้องปากพูด “คุณหนูทำเช่นนี้หาได้ไม่ ก่อนหน้านี้หลัวมามาได้กำชับสั่งผู้น้อยไว้ ห้ามมิให้พวกผู้น้อยอยู่ห่างกายคุณหนู คราวที่แล้วเพราะพวกผู้น้อยปล่อยให้คุณหนูตามท่านโหวน้อยไป พวกผู้น้อยเลยถูกนายท่านลงโทษให้คัดหนังสือ”
พอพูดจบนางก็ใบหน้ายับย่นเป็นผิวมะระ มองดูเฉินอิ๋งด้วยสายตาน่าเวทนา “นายท่านลงโทษให้พวกผู้น้อยคัดตัวหนังสือตั้งร้อยหน้า ขนาดพวกผู้น้อยคัดจนค่ำมืดดึกดื่น อีกทั้งนี่ก็ผ่านมาครึ่งเดือนแล้ว ทว่าจนป่านนี้ก็ยังไม่เสร็จ คุณหนูเห็นใจพวกผู้น้อยด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
เฉินอิ๋งอดยิ้มออกมาไม่ได้ นางทำสีหน้าเชิงขออภัยพลางกล่าว “เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่รีบบอกเล่า ในมือข้ามีบทคัดเก็บไว้อยู่พอสมควร พวกเจ้าแค่เอาไปส่งเท่านั้นก็ได้แล้วมิใช่หรือไร”
“คุณหนู ทำเช่นนั้นไม่ได้นะเจ้าคะ” สวินเจินใบหน้ากลัดกลุ้มราวกับกินหวงเหลียน* เข้าไป “สายตาของนายท่านเฉียบคมยิ่งนัก ตัวหนังสือพวกนั้นใช่ผู้น้อยคัดหรือไม่ นายท่านแค่มองดูปราดเดียวก็รู้แล้ว ผู้น้อยไหนเลยจะกล้า”
จือสือพยักหน้าตาม “ดวงตาของนายท่านราวกับมีแสงเทียนสุกสว่าง ยิ่งไปกว่านั้นพวกผู้น้อยก็มิอาจหลอกลวงนายท่านได้ ครั้งนี้คุณหนูพาพวกผู้น้อยไปด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
เพราะไม่อยากทำพวกนางลำบาก เฉินอิ๋งจึงได้แต่ตกลงรับปาก ครั้นสามนายบ่าวแต่งเนื้อแต่งตัวเป็นที่เรียบร้อยก็ต่างคนต่างถือร่มไผ่ ลงจากรถเดินไปตามถนนสายเล็กๆ นั่น
ต้นหลิวเขียวชอุ่ม สายฝนเสมือนขนแปรงสีเงินสะบัดไหวลอยละล่องไปตามกิ่งหลิว คล้ายไร้สิ้นเรี่ยวแรงกำลัง
บางทีอาจด้วยเพราะฝนตก บนถนนจึงมีผู้คนสัญจรบางตา บรรยากาศเงียบสงัดยิ่ง
หลังจากผ่านไปได้ราวๆ หนึ่งเค่อ สามแยกด้านหน้าก็ปรากฏขึ้นต่อสายตา ต้นหลิวใหญ่เขียวชอุ่มส่ายไหวตามลม ใต้ต้นหลิวมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ อาภรณ์เจี้ยนซิ่วสีเทา เส้นผมเกล้าเป็นมวยสูง ใบหน้าราบเรียบนั้นแทบเรียกได้ว่าร้างไร้ซึ่งความรู้สึก
ที่แท้ก็เยี่ยชิงนั่นเอง
“ต้องให้ผู้บัญชาการเยี่ยรอนานแล้ว” เฉินอิ๋งยิ้มกล่าวทักทายพลางชูร่มเดินตรงเข้าไป
เยี่ยชิงกลับไม่กางร่ม นางประสานมือสีหน้าราบเรียบ “คารวะคุณหนู”
ยังคงเป็นคำพูดสั้นๆ ตามมาตรฐานของเยี่ยชิง ทว่าสำหรับเฉินอิ๋งแล้ว นางกลับรู้สึกสนิทชิดเชื้ออย่างน่าประหลาด
“ที่นี่สะดวกพูดคุยกันกระนั้นหรือ” นางถามออกมาตรงๆ
เยี่ยชิงพยักหน้าแทนการตอบ
สวินเจินกับจือสือที่อยู่อีกด้านยามนี้ล้วนถอนหายใจโล่งอก
ถึงจะแต่งกายอยู่ในอาภรณ์เจี้ยนซิ่ว แต่ไม่ว่าเช่นไรเยี่ยชิงก็เป็นสตรี คุณหนูของพวกตนนัดพบกับสตรี ไหนเลยจะผิดขนบธรรมเนียมประเพณีอันใดได้
“ไหนๆ ก็มาแล้ว เช่นนั้นคงต้องรบกวนพวกเจ้าช่วยดูทางให้ข้าด้วย” ครั้นนึกถึงพวกนางสองคนขึ้นได้ เฉินอิ๋งก็เอ่ยปากสั่ง
อันที่จริงมีเยี่ยชิงอยู่ที่นี่ เรื่องนี้หามีความจำเป็นอันใดไม่ เพียงแต่เรื่องที่นางจะพูดกับเยี่ยชิงหลังจากนี้ อย่าให้พวกนางสองคนได้ยินจะดีกว่า
สวินเจินกับจือสือต่างพากันขานรับ ก่อนจะไปเฝ้าอยู่บริเวณสองข้างถนน
เฉินอิ๋งกับเยี่ยชิงเดินขึ้นหน้าไปใกล้ต้นหลิวนั่นมากขึ้น ครั้นกวาดตาไปรอบๆ ไม่พบเจอผู้ใด นางก็เอ่ยปากถามเสียงแผ่ว “สองสามวันนี้สิงเหว่ยมีความเคลื่อนไหวอันใดบ้างหรือไม่”
เฉินอิ๋งวางแผนให้คนจับตาดูสิงเหว่ยตั้งแต่ก่อนเดินทางมาซานตงแล้ว
ทว่าหลังเฉินเซ่าจู่ๆ ก็เป็นลมหมดสติ นางก็ได้บอกเรื่องนี้ให้เผยซู่รู้ ฝากให้เขานำคำพูดไปบอกกับเยี่ยชิง
เยี่ยชิงมีกำลังคนในมืออยู่กลุ่มหนึ่ง สมัครพรรคพวกเหล่านั้นปะปนซ่อนแฝงอยู่ในจี่หนาน เรียกได้ว่าเป็นงูเจ้าที่ มีพวกเขาออกหน้า การเคลื่อนไหวของสิงเหว่ยย่อมไม่มีทางหลุดรอดสายตาไปได้
ที่เฉินอิ๋งจงใจหลีกเลี่ยงผู้คนเช่นนี้ก็เพื่อมาฟังรายงานข่าวจากปากเยี่ยชิง