ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 528-530
บทที่ 529 อาจารย์ในสำนักศึกษา
“อาจารย์ทังแห่งสำนักศึกษาเฉวียนเฉิงกับเขานัดพบเจอกัน ทว่าไม่รู้เรื่องอันใด ข้าได้ส่งคนไปจับตาดูแล้ว”
เมื่อได้ยินเฉินอิ๋งถามเช่นนั้นเยี่ยชิงก็ตอบออกมาอย่างรวดเร็ว คำตอบยังคงกระชับสั้นเหมือนเช่นทุกครั้ง ครั้นพูดจบนางก็รวบแขนเสื้อ ชักเท้าออกเดินอย่างรวดเร็ว
“ช้าก่อน” เฉินอิ๋งเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว นางรีบขยับเท้าขึ้นขวางพร้อมเอ่ยปากถาม “อาจารย์ทังแห่งสำนักศึกษาเฉวียนเฉิงผู้นั้นมีที่มาที่ไปเช่นไร แล้วรายละเอียดของการนัดพบกันของพวกเขาเล่า รวมทั้งปกติการเคลื่อนไหวของสิงเหว่ยเป็นเช่นไร”
คำถามเป็นชุดของเฉินอิ๋งรั้งเท้าเยี่ยชิงไว้ นางช้อนตามองมาทางเฉินอิ๋ง สีหน้าราบเรียบไร้ความรู้สึก น้ำเสียงทุ้มต่ำราวกับเหล็กขัดถูกันนั้นยกสูงเล็กน้อย “เด็กๆ!”
ทันทีที่พูดจบ คนผู้หนึ่งก็โผล่ออกมาจากปากทาง ชะเง้อชะแง้มองมาทางพวกนาง
ครั้นเพ่งตามองไป เฉินอิ๋งก็สังเกตเห็นเด็กหนุ่มรูปร่างเล็กเตี้ยผู้หนึ่ง อายุน่าจะราวๆ สิบกว่าปี เนื้อตัวผ่ายผอม สวมใส่เสื้อผ้าสีเทา หลังเอวมีถุงผ้าผูกมัดไว้ ดูคล้ายเด็กที่ทำงานในห้องบัญชี
เฉินอิ๋งรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กๆ เด็กผู้นี้คงต้องเป็นลูกน้องของเยี่ยชิงแน่ ไม่รู้ว่ามาที่นี่มีเรื่องอันใด
เยี่ยชิงมองดูเด็กหนุ่มคนนั้นอยู่ไกลๆ ไม่พูดอันใด ทำเพียงกวักมือ
เด็กหนุ่มคนนั้นสองตาเป็นประกายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ขานรับเสียงดังฟังชัดว่า “ขอรับ” ก่อนจะชักเท้าวิ่งตรงเข้ามา
“หม่าโหวเอ๋อร์” ยังไม่ทันวิ่งเข้ามาใกล้ เยี่ยชิงก็พยักพเยิดหน้าให้กับเฉินอิ๋งคราหนึ่ง
เฉินอิ๋งเข้าใจได้ทันที นั่นเป็นชื่อของเด็กหนุ่มคนนั้น
ขณะที่นางกำลังคิดอยู่นั้น เยี่ยชิงก็หันหลังให้กับเฉินอิ๋ง ยกนิ้วหัวแม่โป้งขึ้น ชี้มาทางด้านหลัง “อาจารย์ใหญ่เฉิน”
“คารวะอาจารย์ใหญ่เฉิน” หม่าโหวเอ๋อร์ฉลาดเฉลียวยิ่งนัก เขาคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นพร้อมประสานมือคารวะ
การหยุดเพื่อแสดงคารวะนี้เกิดขึ้นทันทีที่เขาเดินสวนผ่านเยี่ยชิงไป หลังจากนั้นคำพูดกระชับสั้นประโยคหนึ่งก็ดังตามลมลอยละล่องเข้าหูของเฉินอิ๋ง
“เขาเล่า ข้าดูต้นทาง”
เสียงยังไม่ทันจางหาย เงาร่างของเยี่ยชิงก็หายลับไปจากที่นั่นแล้ว เร็วเสียยิ่งกว่าเร็ว
เฉินอิ๋งไม่รู้ว่าตนเองควรแสดงสีหน้าท่าทางอันใด
คำพูดของนางนี้หมายความว่านางรับผิดชอบเพียงพาคนเล่าเรื่องมาแนะนำกับเฉินอิ๋ง หลังจากนั้นหน้าที่ของนางก็เป็นอันเสร็จสิ้น
ท่าทางประเภท ‘เรื่องนี้วันหน้าเจ้าอย่าได้ถามข้าอีก’ นี้นับเป็นท่าทีมาตรฐานของเยี่ยชิงโดยแท้
“อาจารย์ใหญ่เฉิน ท่านอยากทราบเรื่องอะไรก็ถามผู้น้อยมาได้เลย” หม่าโหวเอ๋อร์ยิ้มวิ่งเข้ามา สองตากลอกกลิ้งไปมา ท่วงท่าฉลาดเฉลียวปรากฏอยู่บนใบหน้า
เฉินอิ๋งรู้สึกอับจน แต่ถึงกระนั้นนางก็รู้ดีว่าด้วยนิสัยของเยี่ยชิงคิดให้นางพูดเพิ่มสักสองสามประโยคนั้นยากเสียยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์เสียอีก ดังนั้นจึงทำเพียงเอ่ยปากถาม “คนที่ผู้บัญชาการเยี่ยให้เจ้าจับตาดูนั้น เจ้ายังจำได้หรือไม่”
“ผู้น้อยจำได้ขอรับ” หม่าโหวเอ๋อร์พยักหน้าติดๆ กันพร้อมวาดมือวาดไม้พูด “ชายหนุ่มผู้นั้นผมขาว ชอบเดินวกไปวนมา จับตามองเขานับว่าลำบากไม่ใช่น้อย”
เฉินอิ๋งพยักหน้าไม่พูดไม่จา
สิงเหว่ยที่มาที่ไปพิลึกพิลั่น พฤติกรรมเยี่ยงนี้จะว่าไปก็นับว่าเหมาะสมกับตัวเขาอยู่
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งนางก็กวักมือไปทางหม่าโหวเอ๋อร์ “พวกเราเดินเข้าไปข้างในอีกหน่อยเถอะ”
หม่าโหวเอ๋อร์รีบขานรับ เดินตามเฉินอิ๋งอยู่ทางด้านหลัง หลังจากเดินขึ้นหน้าไปได้สิบกว่าก้าว พวกเขาทั้งคู่ก็ชะงักเท้า
“อาจารย์ทังผู้นั้นมีที่มาที่ไปเช่นไร” เฉินอิ๋งถามต่อ
หม่าโหวเอ๋อร์ไม่แม้แต่จะหยุดคิด เขาตอบออกมาอย่างรวดเร็ว “เรียนอาจารย์ใหญ่เฉิน อาจารย์ทังผู้นั้นเดิมเป็นซิ่วไฉสอบตก เพื่อเข้าสอบเขาผลาญเงินครอบครัวไปหมดสิ้น บิดามารดาของเขายามนี้ป่วยตายสิ้นแล้ว เพราะเขามีนิสัยแปลกประหลาด ไปขอบุตรีบ้านใดจึงไม่เคยประสบความสำเร็จ กลายเป็นตาแก่โดดเดี่ยว ต่อมาสหายร่วมเรียนของเขาผู้หนึ่งทนดูเขาเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ จึงชักนำเขามาเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่สำนักศึกษาเฉวียนเฉิง”
“ในเมื่อเขาสอบตก แล้วเหตุใดถึงสามารถไปสอนคนได้” เฉินอิ๋งขมวดคิ้วกล่าว “สำนักศึกษาเฉวียนเฉิงเป็นสำนักศึกษาชั้นนำ มีชื่อเสียงอยู่ในจี่หนานมิใช่น้อย แล้วอาจารย์ทังยืนหยัดอยู่ที่นั่นได้เช่นไร”
หม่าโหวเอ๋อร์ยิ้ม “ผู้น้อยได้ยินคนบอกว่าทังซิ่วไฉแม้จะไม่อาจสอบผ่านเป็นจวี่เหรินได้ ทว่าความรู้ของเขากลับยอดเยี่ยมยิ่งนัก บรรดาอาจารย์ในสำนักศึกษานั่นแบ่งกันหลากหลายระดับชั้น ทังซิ่วไฉสอนผู้เรียนระดับต้น ผู้น้อยคิดว่าความรู้ของเขานั้นน่าจะเพียงพออยู่”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” เฉินอิ๋งก้าวเดินขึ้นหน้าช้าๆ หม่าโหวเอ๋อร์เดินตามอยู่ทางด้านหลังไม่ห่างด้วยท่าทางซื่อๆ
หลังจากผ่านไปได้ครู่หนึ่ง เฉินอิ๋งก็ถามขึ้นอีก “แล้วการพบเจอกันของอาจารย์ทังกับชายผมขาวผู้นั้นเป็นเช่นไร”
ชื่อของสิงเหว่ยนั้นจะพูดก็ได้ไม่พูดก็ได้
หม่าโหวเอ๋อร์ขมวดคิ้วครุ่นคิดก่อนจะตบหน้าผาก ยื่นมือล้วงเข้าไปในถุงผ้าพลางกล่าว “อาจารย์ใหญ่เฉินถามขึ้นมาผู้น้อยถึงนึกได้ นี่คือสัญลักษณ์ลับขอรับ”
ขณะพูดเขาก็ดึงมือพ้นออกมาจากถุงผ้า ที่ถืออยู่ในมือคือกระดาษแผ่นหนึ่ง มันถูกพับไว้เป็นอย่างดี เขายื่นส่งด้วยสองมือ “เมื่อหกวันก่อนตอนชายหนุ่มผมขาวออกจากประตูเรือน เขาได้ทำเครื่องหมายไว้บนหินใหญ่ก้อนที่สามทางทิศตะวันออกของตรอกหวงป้อ ผู้น้อยรู้ว่านั่นต้องเป็นสัญลักษณ์ลับแน่จึงคัดลอกมันไว้”
เฉินอิ๋งคลี่กระดาษออกดู เห็นด้านบนวาดลูกธนูไว้ดอกหนึ่ง ข้างตัวธนูมีเส้นตรงอยู่สองสามเส้น บ้างยาวบ้างสั้น มีทั้งที่อยู่ข้างบนและข้างล่าง
เฉินอิ๋งถามเขา “เจ้ายังจำได้หรือไม่ ปลายธนูนี้ยามนั้นหันชี้ไปทางใด”
“ชี้ขึ้นบนขอรับ” หม่าโหวเอ๋อร์พูดจาหนักแน่น
“เส้นทางด้านบนมีอยู่แค่สองสามเส้นนี้เท่านั้นหรือ” เฉินอิ๋งถามต่อ
หม่าโหวเอ๋อร์เกาหัว น้ำเสียงแผ่วลง “ผู้น้อย…ผู้น้อยนับเลขไม่เป็น” พูดจบเขาก็แอ่นอกน้อยๆ สีหน้ามั่นอกมั่นใจ “แต่อาจารย์ใหญ่เฉินโปรดวางใจ ผู้น้อยวาดตามแบบทุกประการ ไม่มีอันใดผิดพลาด”
เฉินอิ๋งส่งเสียง “อืม” ออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะถามอีกครา “พวกเขาพบเจอกันยามใด เวลากับสถานที่คือที่ใด”
หม่าโหวเอ๋อร์ตอบ “เรียนอาจารย์ใหญ่เฉิน เมื่อสามวันก่อนต้นยามเว่ย ชายหนุ่มผมขาวไปพบทังซิ่วไฉที่โรงน้ำชาถงชุนซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมือง”
เฉินอิ๋งไม่พูดอันใด ทว่าในใจกลับครุ่นคิดเร็วรี่
หัวธนูชี้ขึ้นบน พบเจอกันทางทิศเหนือของเมือง เหมือนจะสอดคล้องกับคำว่า ‘ขึ้นเหนือล่องใต้’ ทิศที่หัวธนูหันชี้ไปน่าจะเป็นทิศทางของสถานที่นัดพบ
นางพิจารณาตัวธนูต่ออีกครั้ง ส่วนกลางของมันมีเส้นวาดอยู่สามเส้น หรือว่านี่คือเครื่องหมายบอกกำหนดนัด ‘สามวันให้หลัง’
ส่วนที่อยู่ทางด้านล่างมีเส้นห้าเส้น สี่เส้นยาวหนึ่งเส้นสั้น
นี่คือสัญลักษณ์บอกเวลานัดหมาย? สี่ยาวหนึ่งสั้นแทนต้นยามเว่ย?
หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งเฉินอิ๋งก็พับเก็บแผ่นกระดาษดังกล่าวเข้าไว้ในแขนเสื้อ
ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาคลี่คลายสัญลักษณ์ ตัวอย่างมีเพียงหนึ่งเท่านั้น ยังน้อยเกินไปที่จะตัดสินใจ ยามนี้นางได้แต่คาดเดาเอาเท่านั้น
“พวกเขาสองคนพบปะพูดคุยอะไรกันบ้าง เจ้ารู้หรือไม่” นางหันไปถามหม่าโหวเอ๋อร์ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
หม่าโหวเอ๋อร์ส่ายหน้า “พวกเขาเลือกนั่งอยู่ตรงกลาง สามารถมองเห็นได้รอบด้าน หากเข้าไปใกล้เกินไปต้องถูกพวกเขาจับได้แน่ ข้าได้แต่จับตามองอยู่ที่ข้างนอก ทว่าจากที่ข้าเห็นพวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรกันสักเท่าใดนัก แค่นั่งจิบชาอยู่สองคำ หลังชายหนุ่มผมขาวพูดอะไรบางอย่างสองประโยคจบ พวกเขาสองคนก็ต่างพากันแยกย้าย”
พอได้ยินเช่นนั้นเฉินอิ๋งก็รู้สึกผิดหวังเล็กๆ
คิดว่าพวกเขาจะส่งมอบของให้กันเสียอีก ที่แท้ก็แค่ถ่ายทอดคำพูด
ทันใดนั้นนางก็ได้ยินหม่าโหวเอ๋อร์พูดขึ้นอีกว่า “ผู้น้อยกับพี่น้องอีกสองสามคนคอยจับตาดูอยู่ พอพวกเขาสองคนแยกจากกัน ผู้น้อยกับพี่น้องอีกคนก็คอยจับตาดูทังซิ่วไฉผู้นั้น หลังออกจากโรงน้ำชาเขาก็มุ่งหน้าตรงไปหาพ่อค้านายหน้าผู้หนึ่ง เพราะที่นั่นผู้คนมากมาย ผู้น้อยจึงพอเข้าไปแอบฟังได้ ได้ยินเขาบอกว่าต้องการขายบ้านของบรรพบุรุษทิ้ง ต้องการให้นายหน้าช่วยส่งคนไปตีราคา”