ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 528-530
บทที่ 530 ไปแล้วไม่หวนคืน
เฉินอิ๋งเงยหน้าประหลาดใจ
อาจารย์ทังผู้นี้หานายหน้าเพื่อขายบ้านของบรรพชนทิ้ง? เพราะเหตุใด
หรือว่า…
“ทังซิ่วไฉตัดสินใจจะไปจากจี่หนานใช่หรือไม่” เฉินอิ๋งถามหยั่งเชิงหม่าโหวเอ๋อร์
“ผู้น้อยรู้สึกว่าคล้ายจะเป็นเช่นนั้น” หม่าโหวเอ๋อร์พยักหน้าตอบอย่างรวดเร็ว ยืนยันถึงข้อสันนิษฐานของนาง ก่อนจะพูดเสริม “ทังซิ่วไฉไม่เพียงจะขายบ้าน เมื่อสองวันก่อนยังแวะเวียนไปหานายหน้าบ่อยๆ ได้ยินว่าข้าวของมีค่าในบ้านอันใดล้วนขายหมดสิ้น”
พูดถึงตรงนี้หม่าโหวเอ๋อร์ก็ขยับขึ้นหน้าเข้าไปอีกเล็กน้อย พูดด้วยสีหน้าลึกลับ “เมื่อวานตอนสายผู้น้อยเห็นเขาออกมาจากสำนักศึกษา ในมือถือสัมภาระห่อใหญ่ห่อหนึ่ง มีศิษย์สองสามคนตามมาส่งเขาเดินทาง ผู้น้อยแสร้งทำเป็นเดินผ่าน แอบฟังพวกเขาพูดคุยกัน ได้ยินพวกศิษย์สองสามคนนั้นบอก ‘ท่านอาจารย์รักษาตัวด้วย’ ‘วันหน้าคงได้พบกันอีก’ อะไรทำนองนั้น มีศิษย์คนหนึ่งร่ำไห้ปาดน้ำตาอย่างกับพ่อแม่ตายก็ไม่ปาน”
เขาเบ้ปากกล่าว “ทังซิ่วไฉผู้นั้นกล่าวปลอบใจศิษย์พวกนั้นบอก ‘ถึงข้าไม่อยู่ แต่ก็ยังมีอาจารย์ท่านอื่นอยู่ พวกเจ้าตั้งใจเล่าเรียนให้ดี’ เขาพูดจาแบบพวกบัณฑิตมีการศึกษา ผู้น้อยเลียนแบบไม่ถูก แต่ถึงอย่างนั้นผู้น้อยก็ฟังออกว่าทังซิ่วไฉพูดเช่นนี้ย่อมหมายความว่าเขากำลังจะเดินทางไกลเป็นแน่ อาจารย์ใหญ่เฉินว่าใช่หรือไม่”
เฉินอิ๋งนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ทว่าสีหน้าจริงจัง
ขนาดตำแหน่งอาจารย์ในสำนักศึกษาเฉวียนเฉิงก็ยังไม่เอา งานนี้คงไม่ใช่แค่เดินทางไกลธรรมดาๆ แล้ว
การกระทำเช่นนี้ของทังซิ่วไฉเห็นชัดว่าเขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่ย้อนกลับมาอีก
เพียงแต่เขาคิดจะไปที่ใด แล้วเหตุใดถึงต้องไปอย่างเด็ดขาดเช่นนี้ด้วย
ขายบ้านบรรพชน ลาออกจากการเป็นอาจารย์ ปิดทางถอยหมดสิ้น ไยต้องเป็นเช่นนี้
บากหน้าพึ่งพาญาติพี่น้อง หลบหนีเภทภัย หรือ…ยังมีเรื่องลับอันใด
เฉินอิ๋งยืนขมวดคิ้ว หมอกฝนพัดเข้ามาภายในร่มย้อมกระโปรงสีฟ้าอ่อนให้เข้มขึ้น
เรื่องนี้คนสำคัญยังคงเป็นสิงเหว่ย
น่าเสียดายที่สิงเหว่ยยามนี้ยังคงไม่อาจแตะต้อง เฉินอิ๋งต้องการเก็บเขาไว้ ใช้ตกทังซิ่วไฉหรือคนอื่นๆ ออกมา
“วันนี้ตอนสายทังซิ่วไฉออกจากเรือนมาอีก แต่คราวนี้เขามุ่งหน้าไปโรงรับจำนำ” หม่าโหวเอ๋อร์พูดขึ้นอีก ใบหน้าเหลืองผอมเล็กๆ นั่นเต็มไปด้วยความรู้สึกสงสัย
“หลังออกมาจากโรงรับจำนำ ผู้น้อยก็มอบเงินเล็กน้อยให้กับเจ้าหน้าที่โรงรับจำนำ เจ้าหน้าที่คนนั้นกระซิบบอกกับผู้น้อยว่าทังซิ่วไฉมาไถ่ของ ก่อนหน้านี้เขาเงินขาดมือ จึงเอาหยกประดับมาจำนำไว้สองตำลึงเงิน ยามนี้เอาตั๋วจำนำมาไถ่ของคืน เพราะเมื่อสองวันก่อนเขาขายของออกไปไม่น้อย ยามนี้จึงมีเงินทองเหลือเฟือ หยกประดับนั้นถูกเขาไถ่กลับไปแล้ว”
เฉินอิ๋งหรี่ตา
หยกประดับนี้เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีปัญหาอันใดบางอย่าง
หรือว่าเพราะกำลังจะเดินทางไกล ทังซิ่วไฉจึงคิดจะเก็บหยกประดับประจำตระกูลไว้เป็นของที่ระลึก?
เฉินอิ๋งถูด้ามร่มเบาๆ สัมผัสเย็นชุ่มชื้น ลมหายใจฝากแฝงไว้ซึ่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของไผ่ เพียงแต่กลิ่นดังกล่าวเปียกชื้นด้วยน้ำฝน ด้ามร่มมันปลาบสีเขียวคล้ายเปียกชื้นอยู่หลายส่วน
“ทว่าชายหนุ่มผมขาวผู้นั้นสองสามวันนี้กลับหมกตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่ยอมออกมา” หม่าโหวเอ๋อร์พูดขึ้นอีก หลังจากนั้นเขาก็ค้อมตัว “ที่ผู้น้อยรู้ก็มีเพียงเท่านี้”
“ขอบใจเจ้ามาก” เฉินอิ๋งพาตนเองออกจากความคิดอ่านเหล่านั้น นางกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะยื่นมือเข้าไปในแขนเสื้อหยิบเอาเหรียญกษาปณ์ออกมาจำนวนหนึ่ง ยิ้มมอบมันให้กับเขา “เพื่อสืบข่าว เจ้าต้องลำบากไม่ใช่น้อย เงินนี้เจ้ารับไว้เถอะ เอาไปซื้ออะไรอร่อยๆ กิน”
หม่าโหวเอ๋อร์สองตาเบิกกว้าง จ้องมองดูเงินพวกนั้น น้ำลายแทบจะหกออกมากระนั้น
นึกไม่ถึงว่าแทนที่จะรับมันเอาไว้ เขากลับดึงสองมือไปทางด้านหลัง ส่ายหน้าพูดเสียงดัง “อาจารย์ใหญ่เฉินแกล้งผู้น้อยแล้ว ผู้น้อยไหนเลยจะกล้ารับเงินพวกนี้ไว้ หากผู้บัญชาการเยี่ยรู้เข้า ผู้น้อยมีหวังได้ถูกถลกหนังแน่”
เขาพูดพลางถอนสายตาออกจากเหรียญกษาปณ์พวกนั้นอย่างสุดกำลัง ชักเท้าถอยหลังไปสองสามก้าว ท่วงท่าเด็ดเดี่ยวมั่นคง สองมือไพล่หลังค้อมกายแสดงคารวะ ก่อนจะหันหลังวิ่งจากไป
“ช้าก่อน” เฉินอิ๋งรีบเรียกอีกฝ่าย
หม่าโหวเอ๋อร์ว่านอนสอนง่าย เขารีบชะงักเท้า ตอนหันกลับมาสองมือยังคงไพล่อยู่ทางด้านหลัง สีหน้าระแวดระวัง “อาจารย์ใหญ่เฉินต้องการสั่งให้ผู้น้อยทำอันใดกระนั้นหรือ” ตอนพูดเขาเชิดหน้าแอ่นอก พูดจาหนักแน่นเปี่ยมด้วยเหตุผล “หากท่านต้องการตกรางวัลผู้น้อยด้วยเงินพวกนั้น ผู้น้อยมิอาจรับได้ ขออาจารย์ใหญ่เฉินเก็บมันกลับไปเถิด”
พูดถึงท้ายสุด เขาก็ไม่วายกลืนน้ำลายลงคอสองสามคราว
เฉินอิ๋งเกือบหลุดหัวเราะ
เห็นอยู่ชัดๆ ว่ากล่าวปฏิเสธ แต่สายตาของหม่าโหวเอ๋อร์กลับราวกับมีตะของอก ถูกเหรียญกษาปณ์นั่นคว้าวิญญาณไป ใบหน้าเกือบมีคำว่า ‘ข้าอยากได้’ สลักไว้
เฉินอิ๋งยัดเงินพวกนั้นกลับเข้าแขนเสื้อ ดวงตาของอีกฝ่ายฉายแววผิดหวังออกมาอย่างเห็นได้ชัด นางกล่าววาจาน้ำเสียงอ่อนโยน “ในเมื่อเจ้ายืนยันว่าไม่กล้ารับไว้ เช่นนั้นข้าก็จะไม่ฝืนใจเจ้า ไว้อีกสักครู่ข้าค่อยมอบเงินก้อนนี้ให้ผู้บัญชาการเยี่ย ให้นางเป็นคนแบ่งให้พวกเจ้าก็แล้วกัน พวกเจ้าทำงานได้ดีมาก นี่เป็นรางวัลที่พวกเจ้าสมควรได้รับ”
หม่าโหวเอ๋อร์เบิกบานใจยิ่ง รอยยิ้มแขวนประดับอยู่เต็มใบหน้าเล็กๆ นั่น เขาพูดออกมาติดๆ กัน “อาจารย์ใหญ่เฉินดียิ่งนัก ขอบคุณอาจารย์ใหญ่เฉิน”
เฉินอิ๋งโบกมือ พูดวกกลับเข้าเรื่อง “เอาล่ะ พวกเราเข้าเรื่องกันดีกว่า รบกวนเจ้าไปเชิญผู้บัญชาการเยี่ยมา บอกว่าข้ามีเรื่องต้องการให้นางช่วยเหลือ”
หม่าโหวเอ๋อร์ขานรับเสียงดัง วิ่งจากไปด้วยท่าทีลิงโลดยินดี
เพียงไม่นาน ท่ามกลางหมอกฝน เงาร่างของเยี่ยชิงก็ปรากฏขึ้น
คราวนี้นางกลับถือร่มไว้ในมือ ร่มไหมสีดำ ท่าทางยามถือมันไว้แลดูไม่ต่างอันใดกับกุมกระบี่ ถึงจะก้าวย่างเชื่องช้า ทว่าท่าทางยามแหวกฝ่าสายฝนเผชิญหน้ารับลมนั่นหากจะบอกว่ากำลังเดินเข้าสู่ลานประหารก็หาได้เกินเลยไม่
เฉินอิ๋งมองดูนางเดินตรงเข้ามา ครั้นอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ก็เอ่ยปาก “ข้ามีเรื่องเรื่องหนึ่งต้องการให้ท่านช่วยเหลือ ท่านแค่บอกว่าได้หรือไม่เท่านั้นก็พอ”
น้ำเสียงสะอาดใสที่ฝากแฝงอยู่กับสายฝนนี้ชวนให้คนฟังรู้สึกสบายใจยิ่งนัก
ใบหน้าของเยี่ยชิงยังคงร้างไร้ความรู้สึก นางเปิดปากกล่าวออกมาคำหนึ่ง “ว่ามา”
เฉินอิ๋งเรียบเรียงคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากเสียงแผ่วเบา “ในมือของท่านน่าจะมีคนที่เชี่ยวชาญด้านการขโมยของ ข้าอยากให้เขาไปบ้านของทังซิ่วไฉสักครั้ง เอาหยกประดับชิ้นนั้นมาให้ข้าดู หลังข้าดูเสร็จค่อยเอามันคืนกลับไปให้เขา อย่าให้เขารู้ตัว”
เมื่อครู่ต่อหน้าหม่าโหวเอ๋อร์ เฉินอิ๋งไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ เกรงจะทำให้เด็กน้อยผู้นั้นเสียคน
นอกจากนี้เฉินอิ๋งเองก็ไม่มั่นใจว่าหยกประดับชิ้นนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่
เพียงแต่ไม่ว่าจะสิงเหว่ยหรือทังซิ่วไฉเฉินอิ๋งล้วนไม่อาจทำการใดให้พวกเขาแตกตื่นตกใจได้ ด้วยเหตุนี้ขอบเขตการเคลื่อนไหวของนางจึงคับแคบยิ่ง นอกจากหยกประดับแล้วก็ไม่มีอื่นใดอีก
“ได้” เยี่ยชิงตอบ คำตอบของนางล้วนสั้นจนมิอาจสั้นได้อีกชั่วนิรันดร์
เฉินอิ๋งรู้ดีถึงอุปนิสัยของอีกฝ่าย ครั้นได้ยินเช่นนั้นนางก็ไม่ถามไถ่อันใดให้มากความอีก หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งนางก็เอ่ยปากกำชับ “ถ้าเป็นไปได้ คนที่ทังซิ่วไฉไปพบเจอในช่วงนี้ก็ต้องรบกวนให้ท่านช่วยส่งคนไปจับตาดูด้วย”
เยี่ยชิงมือข้างหนึ่งถือร่ม มืออีกข้างไพล่อยู่ทางด้านหลัง ก่อนจะเอ่ยปากออกมาคำหนึ่ง “ได้”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฉินอิ๋งก็หยิบเงินออกมาจากแขนเสื้อ มอบมันให้กับนาง “นี่เป็นเงินเล็กๆ น้อยๆ ท่านเอาไปตกรางวัลให้พวกหม่าโหวเอ๋อร์เถิด เด็กคนนี้ท่านสั่งสอนได้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก”
เยี่ยชิงมองดูนาง นัยน์ตาฝากแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกประหลาดใจ
นางรับถุงเงินไว้ ชั่งน้ำหนักด้วยความเคยชิน ใบหน้าที่เรียบเฉยอยู่ตลอดกาลยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันใด นาง “อืม” ออกมาคำหนึ่งก่อนจะเก็บถุงเงินเข้าไว้ในแขนเสื้อ
ด้วยเหตุนี้เฉินอิ๋งจึงไม่พูดอันใดอีก
คนทั้งสองเดินออกจากป่าต้นหลิวไปเงียบๆ สวินเจินกับจือสือล้วนตรงเข้ามารับเฉินอิ๋ง พอเห็นเช่นนั้น เยี่ยชิงก็ประสานมือคารวะเฉินอิ๋ง ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
* กระดาษฉานอี้ (กระดาษปีกจักจั่น) เป็นกระดาษคุณภาพดีประเภทหนึ่ง เนื้อกระดาษบางมันวาว
* หวงเหลียน เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งของจีน รากมีรสขมมาก
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 29 เม.ย. 66 เวลา 12.00 น.