ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 531-533 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 531-533

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 531 ตามหาญาติถึงเรือน

เฉินอิ๋งมองดูเงาร่างของผู้บัญชาการเยี่ยหายลับไปท่ามกลางหมอกฝน นางอดถอนหายใจไม่ได้ นิสัยพูดน้อยของอีกฝ่ายนี้นับวันก็ยิ่งหนักข้อขึ้นทุกที

เฉินอิ๋งกลับขึ้นไปนั่งอยู่บนรถม้าอีกครั้งพร้อมความรู้สึก ‘พบพานสหายเก่าข้ายินดี สหายเก่าพบพานข้ากลับต่างไป’

เพราะถนนเล็กๆ สายนั้นห่างจากสำนักศึกษาไปไม่ไกลนัก หลังจากผ่านไปได้ราวๆ หนึ่งเค่อ รถม้าก็จอดลงอีกครั้ง

เฉินอิ๋งลงจากรถทอดสายตามองไป ที่ปรากฏต่อสายตาคือหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง

ก้อนหินสีขาวแกมเทา ด้านบนยังคงไม่มีคราบตะไคร่อันใด คล้ายมีคนเช็ดถูทำความสะอาดอยู่เป็นประจำ ตัวอักษรคำว่า ‘สำนักศึกษาสตรีเฉวียนเฉิงกับสถานพำนักเด็กและสตรี’ สีเขียวส่งประกายวับวาวส่องสะท้อนอยู่กับหมอกฝนทั่วฟ้า

“ป้ายสำนักศึกษาสตรีของพวกเรายิ่งมองก็ยิ่งเหมือนจะงดงามมากขึ้นทุกที” ได้กลับมาเยือนถิ่นเก่าอีกครั้ง สวินเจินคล้ายปีติยินดียิ่ง ยามนี้นางเอียงคอพินิจพิจารณาหินก้อนใหญ่ สีหน้าท่าทางเหมือนจะภาคภูมิใจอยู่เล็กๆ “ไม่ใช่ผู้น้อยยกยอปอปั้น ทว่าป้ายสำนักศึกษาเฉวียนเฉิงนั้นไม่ว่าจะงดงามสักเพียงใด ผู้น้อยก็รู้สึกว่ามันก็เท่านั้น เทียบไม่ได้กับสำนักศึกษาสตรีของพวกเราแม้แต่น้อย”

เฉินอิ๋งยิ้มไม่พูดอันใด จือสือปิดปากกระเซ้าสวินเจิน “เจ้าเคยไปสำนักศึกษาเฉวียนเฉิงตั้งแต่เมื่อใด ประตูใหญ่ของสำนักศึกษานั่นเปิดไปทางทิศใดเจ้ารู้กระนั้นหรือ”

สวินเจินเชิดหน้าเอ่ย “ข้าต้องรู้อยู่แล้ว เปิดไปทางทิศใต้อย่างไรเล่า” ก่อนจะยื่นนิ้วชี้ไปทางจือสือ ยิ้มหรี่ตาพร้อมพูด “พี่คิดว่าข้าโง่งมหรือไร ใครบ้างจะไม่รู้ว่าลานเรือนทุกหลังล้วนหลังบ้านหันเหนือหน้าบ้านหันใต้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ประตูใหญ่ย่อมต้องหันไปทางทิศใต้”

คำพูดนี้เผยให้เห็นถึงพิรุธ จือสือหัวร่องอหาย “แค่คำพูดไม่กี่ประโยคเจ้าก็เผยไต๋ให้คนจับได้แล้ว ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่เคยไปสำนักศึกษานั่น เรื่องนี้เจ้าเป็นคนพูดออกมาเองนะ”

หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง สวินเจินก็รู้สึกจริงอย่างที่อีกฝ่ายว่าไว้ นางไม่วายหน้าแดงกระทืบเท้า จือสือหยอกกระเซ้านาง เฉินอิ๋งคอยมองอยู่ข้างๆ ริมฝีปากยกโค้ง

ทันใดนั้นเสียงสตรีนางหนึ่งจู่ๆ ก็ดังขึ้น “ไม่ทราบว่านี่คือสำนักศึกษาสตรีเฉวียนเฉิงของคุณหนูใหญ่เฉินใช่หรือไม่”

ภาษาที่พูดไม่สู้จะเป็นภาษามาตรฐานนัก มิหนำซ้ำสำเนียงซานตงยังชัดเจนยิ่ง

จือสือกับสวินเจินนิ่งเงียบทันที เฉินอิ๋งหันหน้ามองกลับไป

ที่ยืนห่างจากพวกนางไปราวๆ สิบกว่าก้าวคือสตรีสองนาง คนที่อยู่ด้านหน้าแต่งกายเยี่ยงสตรีที่ออกเรือนแล้ว เสื้อผ้าที่นางสวมใส่เป็นอาภรณ์ไม่มีแขนสีเขียว ผ้าคลุมผมสีคราม ดวงตาฉายแววปราดเปรียว ดูจากการแต่งตัวแล้วคล้ายเป็นแม่บ้านตระกูลใหญ่

เจ้าของเสียงเมื่อครู่ที่แท้ก็คือนาง

เห็นเฉินอิ๋งมองมาเช่นนั้นนางก็รีบแสดงคารวะ “ผู้น้อยละลาบละล้วงแล้ว ขอคุณหนูได้โปรดอย่าถือสา” พูดจบนางก็ชักเท้าเดินขึ้นหน้า ค้อมกายยิ้มขออภัย “ขอถามคุณหนูสักคำ ที่นี่ใช่สำนักศึกษาสตรีของคุณหนูใหญ่เฉินจากเมืองหลวงผู้นั้นหรือไม่”

“ใช่แล้ว” เฉินอิ๋งกล่าว สายตากวาดมองไปทางด้านหลังของนางอย่างไม่ตั้งใจ

ด้านหลังของสตรีผู้นี้คือดรุณีนางหนึ่ง ร่างทั้งร่างถูกซ่อนอยู่ภายในหมวกม่านแพร ที่พอมองเห็นมีก็แต่เพียงอาภรณ์สีฟ้ายาวกรอมข้อเท้าเท่านั้น ชายอาภรณ์ปักลายไผ่เขียวอยู่สองสามลำ ที่อยู่ในมือของเด็กสาวคือร่มไหมสีฟ้าจางปักลายดอกบัวสีชมพู ยามนี้กำลังยืนอยู่ท่ามกลางหมอกฝน แลดูไม่ต่างอันใดกับภาพวาด

เห็นเฉินอิ๋งกวาดตามองมาเช่นนั้น สตรีคนดังกล่าวก็รีบชักเท้าไปทางด้านข้างครึ่งก้าวคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ตั้งใจ ใช้ใบหน้าอาบซึ่งรอยยิ้มบังขวางสายตาของนาง “คุณหนูผู้นี้ ผู้น้อยใคร่ขอถามอีกสักคำ ท่านเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาสตรีแห่งนี้กระนั้นหรือ”

คำพูดดังกล่าวทำให้เฉินอิ๋งมั่นใจว่านางต้องไม่ใช่คนจี่หนานแน่นอน

สำนักศึกษาสตรีรับก็แต่ชาวบ้านสามัญธรรมดา ไม่รับสตรีสูงศักดิ์ เรื่องนี้ผู้คนในจี่หนานล้วนรู้ดี ทว่าสตรีนางนี้กลับเข้าใจผิดคิดว่าเฉินอิ๋งเป็นศิษย์สำนักศึกษาสตรี เห็นได้ชัดว่านางมาจากที่อื่น

เฉินอิ๋งเผยให้อีกฝ่ายเห็นถึงรอยยิ้มยามปกติของตน “ข้าเป็นอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาสตรี ข้าแซ่เฉิน”

หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง นางก็พูดเสริมขึ้นอีกประโยค “สำนักศึกษาสตรีแห่งนี้ข้าเป็นคนเปิด”

เฉินอิ๋งยังคงพูดอย่างตรงไปตรงมา หลังบอกถึงสถานะของตนเองจบ นางก็ถามอีกฝ่าย “ไม่ทราบว่าพวกท่านทั้งสองคือผู้ใด มาที่นี่มีกิจธุระอันใดหรือ”

สตรีผู้นั้นคล้ายตกตะลึงอยู่เล็กๆ แม้คำพูดจะดังลอยเข้าหู ทุกตัวอักษรล้วนชัดแจ้ง ทว่าครั้นรวมอยู่ด้วยกันนางกลับรู้สึกเหมือนจะฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก หลังเฉินอิ๋งพูดจบ นางก็ได้แต่กะพริบตาปริบๆ ไม่ตอบอันใด

“ขออภัยอาจารย์ใหญ่เฉิน พวกเราล่วงเกินแล้ว” สตรีที่อยู่ด้านหลังชักเท้าเดินขึ้นหน้า ย่อเข่าแสดงคารวะต่อเฉินอิ๋ง ก่อนจะเอ่ยปากเปล่งน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนหวานเยี่ยงดรุณีน้อยออกมา “หลิวมามาไม่ทราบว่าคุณหนูอยู่ที่นี่ ข้าต้องขออภัยแทนนางด้วย” พูดจบนางก็แสดงคารวะอีกคราว

เฉินอิ๋งเบี่ยงกายหลบเลี่ยง หลิวมามาผู้นั้นได้สติขึ้นมาทันที ใบหน้าแดงระเรื่อ นางชักเท้าถอยไปสองสามก้าว รับร่มจากในมือของดรุณีผู้นั้นด้วยท่าทีนอบน้อม ร่างกายโน้มเอนไปทางด้านหน้าเล็กๆ มือข้างหนึ่งตกอยู่ข้างลำตัว สายตามองต่ำลงสามสิบองศา

ถึงขนาดต้องวางตนเช่นนี้ ฐานะชาติกำเนิดของดรุณีน้อยผู้นี้เกรงว่าจะไม่ธรรมดา

ขณะที่เฉินอิ๋งกำลังครุ่นคิด ดรุณีน้อยก็เหยียดตัวยืนตรง น้ำเสียงกระจ่างใสดั่งเสียงนกร้องคล้ายเสียงเพลงก็ดังขึ้น “ข้าแซ่เสวียชื่ออักษรตัวเดียวจื่อ เป็นบุตรีลำดับที่สองของตระกูล ข้าเดินทางมาที่นี่ก็เพื่อตามหาน้องสาม เพราะได้ยินคนบอกว่านางยามนี้มาเป็นแขกของอาจารย์ใหญ่เฉิน ข้าด้วยเพราะร้อนใจ จึงรีบร้อนเดินทางมาตามอำเภอใจ มิได้ส่งเทียบแจ้งให้ทางนี้ทราบก่อน นับว่าเสียมารยาทยิ่งนัก ขออาจารย์ใหญ่เฉินได้โปรดให้อภัยด้วย”

เฉินอิ๋งสะท้านไปทั้งใจ

แซ่เสวีย? ดรุณีน้อยผู้นี้มีความสัมพันธ์อันใดกับเสวียหรุ่ย

ครั้นคิดถึงจุดนี้นางก็เดินขึ้นหน้าสองก้าว ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ทราบว่าคุณหนูเป็นอันใดกับใต้เท้าเสวียผู้ช่วยเจ้าเมืองไท่อัน”

พอได้ยินเช่นนั้นเสวียจื่อก็ยกมือเลิกเปิดผ้าโปร่งยาวสีฟ้าอ่อน เผยให้เห็นใบหน้างดงามขาวสล้าง สองแก้มแดงระเรื่อน้อยๆ “เรียนอาจารย์ใหญ่เฉิน ใต้เท้าเสวียก็คือบิดาของข้า”

นางเป็นพี่สาวของเสวียหรุ่ยจริงๆ!

เฉินอิ๋งแม้จะประหลาดใจ แต่กลับไม่แสดงสีหน้าอันใด นางอมยิ้มกล่าว “ที่แท้ท่านก็คือคุณหนูรองเสวีย เชิญเข้ามาพูดคุยกันในสำนักศึกษาเถิด อาจารย์เสวียยามนี้อยู่ในสำนักศึกษา”

ครั้นได้ยินเช่นนั้นเสวียจื่อก็คล้ายตื่นเต้นหวั่นไหว ขอบตาแดงระเรื่อ นางแสดงคารวะออกมาอีกคราว เดินตามเฉินอิ๋งผ่านประตูสำนักศึกษาเข้าไปภายในโดยมีหลิวมามาคอยประคองอยู่ข้างๆ

จะว่าไปก็บังเอิญยิ่งนัก ทันทีที่ย่างเท้าขึ้นไปอยู่บนระเบียงที่ปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์เขียวครึ้ม เสียงเคาะระฆังก็ดังขึ้น เสียงใสกระจ่างดังอ้อยอิ่ง ฟังดูวังเวงท่ามกลางสายฝนโปรยปราย

“นี่เป็นเสียงสัญญาณเลิกเรียน ข้าจะให้คนไปเชิญอาจารย์เสวียมา” เฉินอิ๋งหันไปบอกกับเสวียจื่อ เชิญพวกนางสองนายบ่าวไปนั่งอยู่ยังเรือนรับรอง ก่อนจะสั่งให้คนจัดเตรียมน้ำชาของว่าง หลังพูดคุยกันสองสามประโยค พวกนางก็สังเกตเห็นว่าท่ามกลางหมอกฝนนอกหน้าต่าง สตรีนางหนึ่งกำลังเดินตรงมาอย่างช้าๆ ที่แท้อีกฝ่ายก็คือเสวียหรุ่ย

ทั้งสองไม่ได้พบหน้ากันปีกว่าแล้ว ยามนี้ครั้นได้พบเจอกันอีกครั้ง เฉินอิ๋งก็อดประหลาดใจไม่ได้

เสวียหรุ่ยในยามนี้ทำนางไม่นึกอยากเชื่อสายตา เฉินอิ๋งอดพินิจพิจารณาดูอีกฝ่ายไม่ได้

เสวียหรุ่ยสวมกระโปรงหม่าเมี่ยนผ้าไหมสีฟ้าสด เสื้อสีฟ้าจาง เส้นผมดำขลับเกล้าเป็นมวยกลมไว้ทางด้านหลัง มีปิ่นหยกอักษรฝูประดับอยู่อันหนึ่ง

ยามนี้นางถือร่มผ้าแพรสีเขียว สวมเกี๊ยะไม้สีดำ ดวงตาสุกใสฟันขาวสะอาด อาภรณ์สะบัดไหว ย่างเยื้องอยู่ท่ามกลางสายฝนเล็กละเอียด แลดูไม่ต่างอันใดกับบุปผาอาบน้ำค้างเบ่งบาน งดงามจนคนมิอาจชักสายตาหลบ

เฉินอิ๋งตะลึงมองดูนาง

เสวียหรุ่ยที่อยู่ตรงหน้าในยามนี้ต่างกับดรุณีในความทรงจำที่เอาแต่ก้มหน้าห่อไหล่ ไม่กล้าสบตาผู้คนนางนั้นราวกับเป็นคนละคน

“น้องสาม!” ครั้นเห็นเงาร่างคุ้นเคยนั่นแต่ไกล เสวียจื่อก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ชักเท้าเดินตรงไปที่ข้างประตูทันที น้ำตาเอ่ยคลอคล้ายจวนเจียนหล่นร่วง

เสวียหรุ่ยเองก็มองเห็นอีกฝ่ายแล้วเช่นกัน นางยิ้มโบกมือให้กับผู้เป็นพี่สาว ฝีเท้ายังคงไม่เร่งไม่ร้อน ศิษย์คนสองคนที่บังเอิญพบเจอนางเข้าต่างแสดงคารวะให้กับนาง เสวียหรุ่ยหยุดเท้าพยักหน้าส่งความปรารถนาดีให้ศิษย์เหล่านั้นน้อยๆ ท่วงท่าสุขุมเยือกเย็นเป็นที่สุด

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com