ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 531-533
บทที่ 532 เสียงระเบิด
ยิ่งเห็นเช่นนั้นเฉินอิ๋งก็ยิ่งแปลกใจ
การเปลี่ยนแปลงของเสวียหรุ่ย หากจะบอกว่าเป็นการ ‘ถอดรกเปลี่ยนกระดูก’ ก็คงไม่ผิดอันใดนัก
ครั้นเดินมาถึงใต้ชายคาระเบียง เสวียหรุ่ยก็ถอดเปลี่ยนรองเท้าด้วยท่วงทีกิริยางดงาม เก็บร่ม เดินผ่านธรณีประตูเข้ามาช้าๆ อมยิ้มแสดงคารวะไปทางเสวียจื่อ “พี่รอง เหตุใดท่านถึงมีเวลาแวะเวียนมาที่นี่ได้”
ตั้งแต่หัวจรดเท้า เสวียหรุ่ยยามนี้ไม่มีอาการกลัวหัวหดเหมือนอย่างเช่นในกาลก่อน ตรงกันข้ามกลับงดงามวางตัวตามสบายชวนให้คนรู้สึกเหมือนได้ดื่มสุราหวานชั้นยอด
เสวียจื่อยามนี้กำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา น้ำเสียงสะอึกสะอื้นอยู่เล็กๆ “ข้ามาเพื่อเยี่ยมเจ้า เห็นเจ้าสุขสบายเช่นนี้ ข้ารู้สึกยินดียิ่งนัก”
เพิ่งพูดได้ไม่กี่ประโยคน้ำตานางก็ไหลพรากไม่หยุด เสียงสะอื้นดังอยู่เบาๆ
ครั้นเห็นเช่นนั้นเฉินอิ๋งก็ไม่นั่งต่อ นางทักทายสองพี่น้องสกุลเสวียครู่หนึ่ง ก่อนจะขอตัวไปพูดคุยกับเฉินเซียงที่ห้องอาจารย์ใหญ่
ที่นางกลับสำนักศึกษามาในยามนี้เหตุผลหลักๆ ก็เพราะต้องการส่งมอบและรับช่วงต่อจากรักษาการอาจารย์ใหญ่ เรื่องนี้ยุ่งยากมิใช่น้อย วันนี้เกรงว่าอาจต้องใช้เวลาอยู่ที่นี่ทั้งวัน
เฉินเซียงรอคอยอยู่ในห้องอาจารย์ใหญ่นานแล้ว หลังเฉินอิ๋งเข้าไป ทั้งสองก็พูดจาโอภาปราศรัยทักทายกันอยู่พักใหญ่
จะว่าไปนับแต่เกิดเรื่องแยกตระกูล หลี่ซื่อก็มิใช่สะใภ้จวนกั๋วกงอีกต่อไป เฉินเซียงสองพี่น้องอยู่บ้านสกุลหลี่ต่อนับว่าชวนกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อย
โชคดีที่ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ตระหนักถึงปัญหาข้อนี้ได้อยู่ก่อนหน้า จึงส่งพ่อบ้านหลิวสองสามีภรรยามา ให้พวกเขาซื้อกิจการที่จี่หนานพร้อมจวนสามทางเข้าไว้หลังหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้เฉินเซียงสองพี่น้องจึงนับได้ว่ามีที่ไป ส่วนครอบครัวของพ่อบ้านหลิวก็พำนักอยู่ที่ซานตง ชายดูแลเรื่องราวภายนอก หญิงดูแลเรื่องราวภายใน
นอกจากนี้เพราะไม่สะดวกที่จะเรียนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษาสกุลหลี่ เฉินเซียงกับเฉินหานจึงไปเป็นอาจารย์ชั่วคราวอยู่ที่สำนักศึกษาสตรี ทุกวันวุ่นวายอยู่กับการเตรียมบทเรียน เข้าสอน ยิ่งไปกว่านั้นเฉินหานยังหลงใหลในการทดลองอย่างยิ่งยวด ใช้ชีวิตยามปกติอย่างออกรสออกชาติ ชวนให้คนอุทานด้วยความตื่นตะลึง
ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ให้คนส่งจดหมายมาหลายต่อหลายครั้ง ล้วนต้องการให้พวกนางช่วยเฉินอิ๋งจัดการสำนักศึกษาสตรีให้ดีๆ คล้ายใส่ใจต่อสำนักศึกษาสตรีเป็นพิเศษ ไม่รีบร้อนจะเรียกตัวพวกนางสองพี่น้องกลับเมืองหลวง ทำเพียงบอกให้พวกนาง ‘พำนักอยู่ที่นี่ให้สบายใจเท่านั้นก็พอ’ แม้แต่เรื่องการออกเรือนของเฉินเซียง ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ก็เหมือนจะไม่รีบร้อนแต่อย่างใด
เมื่อครึ่งเดือนก่อนเฉินจิ่นออกเรือนไป ว่ากันตามหลักแล้วเฉินเซียงกับเฉินหานล้วนต้องเดินทางไปร่วมงานด้วยเพื่อแสดงน้ำใจของคนในครอบครัวเดียวกัน
เพียงแต่กฎเกณฑ์ที่จี่หนานเคร่งครัดไม่ใช่น้อย หากมิได้มีความจำเป็นยิ่งยวด สตรีที่ยังไม่ออกเรือนย่อมไม่อาจออกจากบ้านไปพบแขกตามลำพังได้ จวนจงหย่งป๋อเองด้วยเพราะหวังดี ห่วงใยในชื่อเสียงของพวกนางพี่น้องจึงมิได้ออกเทียบเชิญ ด้วยเหตุนี้ในงานเลี้ยงเฉินอิ๋งจึงมิได้พบเจอพวกนาง
หลังจากนั้นเฉินเซ่าก็ล้มป่วย เฉินเซียงกับเฉินหานไปเยี่ยมเยือนถึงเรือนชาน แต่ก็แค่พบหน้ากันประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น เพียงไม่นานก็แยกย้ายกันไปอีก
จนกระทั่งวันนี้เฉินอิ๋งถึงได้มีเวลาพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบพูดคุยกับพวกนางหลายประโยค
“ยามนี้เจ้ากลับมาแล้ว ข้าก็เท่ากับสามารถปล่อยวางภาระหนาหนักพันชั่งนี้ได้เสียที ส่งคืนสำนักศึกษาสตรีแห่งนี้ให้กับเจ้า ข้ารู้สึกสบายใจยิ่งนัก” เฉินเซียงตบอกคล้ายโล่งอกโล่งใจ
พูดจบนางก็ผลักสมุดบันทึกหนาๆ สองสามปึกมาที่ข้างโต๊ะ “นี่คือสมุดบัญชี ผลการเรียน ตารางความขยัน บันทึกลงโทษตกรางวัลตลอดระยะเวลาหนึ่งปีนี้ ยังมีเอ่อ…รายงานสรุปผลการเรียนการสอนตลอดปีที่เหล่าอาจารย์เขียนไว้ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนอยู่ที่นี่แล้ว เชิญอาจารย์ใหญ่เฉินพิจารณา”
เฉินอิ๋งกลั้นหัวเราะไม่อยู่ “แม้แต่ท่านก็ยังชอบล้อเล่นด้วย เรียกแต่ข้าว่าอาจารย์ใหญ่เฉิน แล้วตัวท่านมิใช่อาจารย์ใหญ่เฉินหรือไร”
คำพูดนี้ทำเฉินเซียงถึงกับปิดปากหัวเราะ สองแก้มแดงระเรื่อ มิได้พูดสามประโยคก็ก้มหน้า มิกล้าพูดเสียงดังเหมือนเก่าก่อน นางกล่าว “เจ้าเองก็เลิกกระเซ้าข้าได้แล้ว ตำแหน่งอาจารย์ใหญ่นี้น่าปวดหัวยิ่งนัก คำพูดที่ข้าพูดมาตลอดหนึ่งปีนี้เรียกได้ว่ามากกว่าสิบกว่าปีก่อนรวมกันไม่รู้กี่เท่า”
นางสองตาเรียวโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว ทั้งคล้ายขัดเขินทั้งคล้ายนึกสนุก “ปลายปีที่แล้วสำนักศึกษาปิดภาคเรียน ในกฎของเจ้าเขียนเอาไว้ว่าต้องเปิดประชุมใหญ่ อาจารย์ใหญ่จำเป็นต้องพูดอะไรบางอย่างต่อหน้าศิษย์และอาจารย์ทั้งสำนักศึกษา นี่มันต้อนเป็ดขึ้นเขียงชัดๆ ตอนขึ้นไปอยู่บนเวทีข้าสองขาสั่นกึกๆ จนแทบจะยืนไม่อยู่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะพูดทุกอย่างให้จบครบถ้วนได้เช่นไร โชคดีที่ไม่ได้กลายเป็นตัวตลกให้คนอื่นขบขัน พระพุทธองค์คุ้มครองโดยแท้”
พอพูดถึงยามนี้นางก็สองแก้มแดงระเรื่อมากขึ้นไปอีก สีหน้าท่าทางเบิกบาน สองตาเป็นประกายคล้ายดวงดาราบนท้องนภา
พอเห็นเช่นนั้นเฉินอิ๋งก็นึกปลาบปลื้มยินดี
ตอนสมัยอยู่ที่จวนกั๋วกง เพราะไม่เป็นที่ชื่นชอบของเสิ่นซื่อ พี่น้องในบ้านหรือก็มีอยู่ด้วยกันหลายคน เฉินเซียงเพราะยอมอ่อนข้อให้ชาวบ้านมาโดยตลอด จึงกลายเป็นคนกลัวนั่นกลัวนี่ไปเสียทุกอย่าง ไม่มีความคิดเห็นเป็นของตนเอง สุดท้ายเพราะเฉินหานเป็นเหตุ ทำให้ถูกฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ส่งมาอยู่ที่จี่หนาน
ยามนี้ดูท่าอย่างน้อย ‘แผนดัดนิสัยหลานสาว’ ของฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ก็ประสบผลสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าอีกครึ่งนั้นยามนี้เป็นเช่นไร
เฉินอิ๋งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง รับเอารายงานพวกนั้นไว้พลางพยักหน้าขอบคุณ “ลำบากท่านแล้ว ข้าเองก็นึกไม่ถึงว่าไปครั้งนี้จะนานถึงหนึ่งปีเต็ม หากไม่มีท่านอยู่ สำนักศึกษาสตรีนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไรบ้าง”
เฉินเซียงรู้สึกขัดเขินอยู่เล็กๆ นางยกแขนเสื้อขึ้นปิดปากยิ้ม “คำพูดนี้ข้าไหนเลยจะกล้ารับไว้ ไม่มีข้าอยู่ อาศัยกำหนดขั้นตอนของอาจารย์ใหญ่เฉินพวกนั้น สำนักศึกษาสตรีไหนเลยจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นได้”
พอพูดถึงตรงนี้จู่ๆ นางก็สีหน้าแปรเปลี่ยนคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ ทันใดนั้นสองแก้มที่แดงระเรื่อก็ซีดลงหลายส่วน
นางพิจารณาดูสีหน้าของเฉินอิ๋งพลางกัดฟัน พูดอย่างลำบากใจว่า “มีอยู่เรื่องหนึ่งข้าต้องรายงานต่ออาจารย์ใหญ่เฉิน…ไม่สิ ควรต้องขออภัยต่ออาจารย์ใหญ่เฉิน คือ…”
ตูม!
นางยังไม่ทันพูดจบ เสียงตูมสนั่นหวั่นไหวก็ดังขึ้นที่ด้านนอก หน้าต่างกระดาษสั่นสะเทือน
“เกิดอะไรขึ้น!” เฉินอิ๋งพรวดพราดลุกขึ้น สีหน้าเคร่งขรึม
หรือว่าจนถึงตอนนี้ยังมีพวกอันธพาลมาหาเรื่องอยู่อีก
“ไม่มีอันใด!” เฉินเซียงรีบลุกขึ้นกล่าว นางเคลื่อนไหวร้อนรนจนเกือบทำตั่งพลิกคว่ำ
นางไม่มีเวลาสนอกสนใจตั่งที่ส่งเสียง ‘กึงกัง’ นั่น เฉินเซียงรีบเดินขึ้นหน้าทำท่าขวางเฉินอิ๋งไว้ ปากยังคงพูดออกมาติดๆ กัน “ไม่มีอะไร…ไม่มีอะไรจริงๆ อันที่จริง…”
เสียงของนางจู่ๆ ก็กลับกลายเป็นแผ่วเบา สีหน้ากระอักกระอ่วน “นี่คือ…น้องสี่…น้องสามนาง…นางตอนนี้อยู่ในเรือนทดลอง”
เฉินอิ๋งยามนี้เดินไปถึงหน้าหน้าต่างแล้ว นางผลักหน้าต่างออกดู
ไม่มีอะไรผิดปกติ
ใต้ชายคาระเบียงคือเงาไม้สูงๆ ต่ำๆ ศิษย์สตรีสองนางกำลังเดินเรื่อยเปื่อย สีหน้าสงบเยือกเย็น เถาวัลย์ไต่อยู่บนอาคารเรียน ศิษย์สามสี่คนยืนพิงร่างอยู่ที่ข้างหน้าต่าง บ้างพูดคุยบ้างยิ้มแย้มหัวร่อ เคลื่อนไหวด้วยท่าทางสบายๆ แม้แต่เสียงอุทานตกใจอันใดก็ล้วนไม่มี และยิ่งไม่มีคนตกใจจนทำอะไรไม่ถูกคล้ายเห็นเป็นเรื่องปกติ
หลังจากตะลึงไปชั่วขณะ ในที่สุดเฉินอิ๋งก็เข้าใจได้ทันที
“คงไม่ใช่คุณหนูสามกำลังทำการทดลองกระมัง” นางหันไปทางเฉินเซียง
เฉินเซียงหน้าแดงขึ้นน้อยๆ นางก้มหน้าท่าทางคล้ายนึกโมโหที่ไม่อาจขุดหลุมฝังตนเองได้พลางกล่าวอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “ใช่แล้ว อาจารย์ใหญ่เฉิน ทุกครั้งที่น้องสามของข้ากับหลี่เนี่ยนจวินจับคู่เข้าเรือนทดลอง มันก็มักจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเป็นประจำ ทั่วทั้งสำนักศึกษาต่างรู้ดี ระยะนี้พวกนางกำลังทำการทดลอง…เจ้าสิ่งที่เรียกว่า…เครื่องจักรกลไอน้ำอะไรสักอย่าง”
เครื่องจักรกลไอน้ำ?
ศิษย์สองคนถึงกับวางแผนศึกษาคิดค้นเครื่องจักรกลไอน้ำ
เฉินอิ๋งตกตะลึง หลังจากนั้นนางก็รู้สึกไม่เข้าใจ
“พวกนางไปเอาวัสดุมาจากที่ใด” นางขมวดหัวคิ้ว
ส่วนประกอบของเครื่องจักรกลไอน้ำรวมถึงลูกสูบเครื่องยนต์ ข้อเหวี่ยงก้านลูกสูบ สไลด์วาล์ว ล้อดุนกำลังล้วนแต่ต้องอาศัยการผลิตจากเครื่องขึ้นรูปโลหะที่ละเอียดแม่นยำ
ทว่าต้าฉู่ในรัชศกหยวนจยาปีที่สิบเจ็ด ไม่มีเตาเป่าลมและยิ่งไม่มีเครื่องขึ้นรูปโลหะ การสร้างเครื่องจักรกลไอน้ำหาใช่เรื่องที่เป็นไปได้ไม่