ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 531-533
บทที่ 533 เหตุตระหนกที่เรือนรับรอง
เฉินเซียงรู้เรื่องนี้มิใช่น้อย พอได้ยินเช่นนั้นนางก็กล่าวขึ้น “อาจารย์ใหญ่เฉินวางใจ ยามนี้พวกนางยังอยู่ในขั้นต้นของการศึกษาพัฒนาเท่านั้น ได้ยินว่าช่วงนี้มักเอาหม้อไปวางไว้บนไฟเพื่อทำการทดลอง บางครั้งควบคุมไฟไม่ดีก็อาจระเบิดขึ้นสักครั้ง แต่ความจริงแล้วหามีอันใดไม่”
คิ้วของเฉินอิ๋งกระตุก
ระเบิด?
หามีอันใดไม่?
เกิดระเบิดแล้วแท้ๆ ยังบอกว่าไม่มีอะไรอีก คนในสำนักศึกษานี้ไฉนประสาทแข็งเยี่ยงนี้
อีกอย่าง…หม้อ?
สีหน้าไม่นึกอยากเชื่อปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฉินอิ๋ง “พวกนางคงไม่ใช่กำลังทดลอง…” หม้อต้มแรงดันสูง?
ใช้หม้อต้มน้ำทำไอน้ำเป็นร่างเดิมของหม้อต้มแรงดันสูง และหม้อต้มแรงดันสูงก็เป็นต้นกำเนิดของเครื่องจักรกลไอน้ำ
เท่าที่เฉินอิ๋งรู้ ในชาติภพก่อนปลายศตวรรษที่สิบเจ็ด นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสที่ยามนี้นางจำชื่อเขาไม่ได้แล้วนั้น หลังทำการสังเกตไอน้ำในหม้อต้มความดัน เขาก็เกิดแรงบันดาลใจสร้างแบบจำลองเครื่องจักรกลไอน้ำเครื่องแรกขึ้น
หรือว่าเฉินหานกับหลี่เนี่ยนจวินกำลังเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน?
ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร แต่เส้นทางที่พวกนางเลือกล้วนเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง
ในใจเฉินอิ๋งระคนไปด้วยความรู้สึกต่างๆ นานา นางกลอกตามองไปทางทิศเหนือของสำนักศึกษา
อาคารเรียนตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนที่อยู่บนเส้นทแยงมุมทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือคือเรือนทดลอง หน้าอาคารมีต้นเพ่าถง* อยู่หลายต้น ยามนี้ต้นไม้ยังไม่ทันโต ลำต้นยังบอบบาง กิ่งก้านเริ่มแตกใบอ่อน มีอยู่หลายต้นที่ออกดอกแล้ว ดอกสีม่วงคล้ายกระดิ่งเล็กๆ แขวนอยู่บนปลายกิ่ง ส่ายไหวรับลมแผ่วเบา
ยามนี้ควันขาวกลุ่มใหญ่กำลังลอยละล่องผ่านหน้าต่างบนอาคารชั้นสองที่อยู่หลังต้นไม้นั่น
เฉินอิ๋งถอนหายใจออกมาเบาๆ คราหนึ่ง
ยังดีที่เรือนทดลองอยู่ค่อนข้างลับหูลับตาคน หนำซ้ำทั้งอาคารยังสร้างขึ้นจากหิน แข็งแกร่งมั่นคงเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าจะทนรับแรงระเบิดนั่นของเฉินหานไม่ไหว
“ไปกันเถอะ ไปดูเรือนทดลองกัน” จู่ๆ เฉินอิ๋งก็นึกสนุก นางชักเท้าเดินออกไปด้านนอกทันที
พอได้ยินเช่นนั้นเฉินเซียงก็หน้าแดงก่ำ นางเดินตามพลางบ่นงึมงำตำหนิ ในใจหรือก็นึกหงุดหงิด
ไม่ใช่ว่านางเป็นบุตรอกตัญญู ทว่านิสัยของเฉินหานนี้ไม่ต่างอันใดกับเสิ่นซื่อเลยแม้แต่น้อย ชอบเอาเปรียบผู้อื่นอีกทั้งยังทำอะไรก็ไม่เคยสำเร็จ ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยข้อบกพร่อง ฮูหยินผู้เฒ่าสวี่ส่งนางมาที่จี่หนาน ทั้งหมดทั้งมวลก็ด้วยเพราะต้องการให้บทเรียนกับนาง
ยามนี้กลับยอดเยี่ยมยิ่งนัก หลังมาอยู่ที่สำนักศึกษาสตรี เฉินหานไม่เพียงโยนนิสัยเจ้าเล่ห์เพทุบายทิ้ง หากยังทุ่มเทความสนใจไปที่เรือนทดลอง วันทั้งวันเอาแต่คอยทำนั่นทำนี่ สามวันระเบิดเล็ก ห้าวันระเบิดใหญ่ ทำจนชาวบ้านที่อยู่รายรอบคุ้นชินหมดสิ้น วันใดไม่ได้ยินเสียงระเบิด ทุกคนต่างต้องวิ่งมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น
เฉินเซียงพร่ำเอ่ยปากเตือนอีกฝ่าย ด่าก็ด่าแล้ว ลงโทษก็ลงโทษแล้ว ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นกับเรือนทดลองล้วนหักออกจากเงินรายเดือนของเฉินหาน แต่นางกลับยังคงทำตัวเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ควรทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น ยิ่งพูดนางก็ยิ่งต่อต้าน ยิ่งแกล้งหนักมากยิ่งขึ้น
“เพราะข้าไม่เอาไหน ขออาจารย์ใหญ่เฉินอย่าได้เก็บใส่ใจ” เฉินเซียงก้มหน้าละอายใจ พูดน้ำเสียงแผ่วเบา
ตอนพูดถึงตรงนี้พวกนางกำลังเดินอยู่บนระเบียงคดยาวๆ ท้องฟ้านอกชายคาระเบียงสว่างไสว ยอดเขาเขียวยืนตระหง่านดุจหัวธนู กลิ่นหอมหวานของดอกเพ่าถงระคนอยู่ท่ามกลางสายลมที่พัดโชยมา
“เรื่องนี้หามีอันใดเกี่ยวกับท่านไม่ พูดไปพูดมาทั้งหมดล้วนเป็นเพราะข้าต่างหาก” เฉินอิ๋งตอบ ในใจนึกอับจนอยู่เล็กๆ
คนที่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้คือนาง ตลอดหนึ่งปีมานี้จดหมายที่นางกับเฉินหานเขียนติดต่อถึงกันเนื้อหามีก็แค่สองเรื่องเท่านั้นคือถามกับตอบ
เฉินหานลุ่มหลงในการทดลองสารพัด จดหมายเต็มไปด้วยคำถามนานา เฉินอิ๋งเองก็ตอบกลับทุกข้อ แนวคิดเรื่องเครื่องจักรกลไอน้ำเฉินอิ๋งเคยเขียนไว้ในจดหมายมาก่อน และนี่ก็คงเป็นสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายนึกสนใจเรื่องนี้
“ทั้งหมดล้วนเพราะข้าดูแลไม่เต็มที่” เฉินเซียงยังคงตำหนิตนเอง นางกัดริมฝีปากขมวดคิ้ว ทุกถ้อยคำล้วนกล่าวออกมาด้วยความยากลำบาก “น้องสาวข้ามีความผิด ทั้งหมดล้วนเพราะผู้เป็นพี่สาวเช่นข้าขาดการชี้นำ อาจารย์ใหญ่เฉินจะตำหนิก็ตำหนิเถิด เพียงแต่น้องสามอายุยังน้อย ข้า…” นางพูดต่อไม่ออก น้ำตาเอ่อคลอ
พวกนางสองพี่น้องอาศัยอยู่ที่ซานตง ไม่ว่าจะอันใดก็ล้วนไม่คุ้นชิน เพราะต่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ความผูกพันของพวกนางสองพี่น้องจึงแน่นแฟ้นลึกซึ้งกว่าเก่าก่อน นางเป็นกังวลกลัวเฉินอิ๋งจะโมโหลงมือทำอันใดกับเฉินหาน
เฉินอิ๋งหยุดเท้า ชำเลืองดูอีกฝ่าย ที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าสะอาดสะอ้านคือท่าทีจริงจัง “วางใจเถอะ ข้าไม่มีทางลงโทษหรือตำหนิคุณหนูสามแน่ ความจริงแล้วการที่คุณหนูสามให้ความสนใจต่อวิชาวิทยาศาสตร์เช่นนี้กลับทำให้ข้ารู้สึกมีความสุขและนึกชื่นชมยิ่ง วิทยาศาสตร์ทำให้คนก้าวหน้า และมีเพียงวิทยาศาสตร์เท่านั้นถึงจะทำให้ต้าฉู่เป็นเจ้าแห่งยุคสมัย”
ริมฝีปากของนางยกโค้ง ดวงตาใสกระจ่างประดับไว้ซึ่งรอยยิ้มน้อยๆ “ขอเพียงอยู่ภายใต้เงื่อนไขไม่ทำลายตนไม่ทำร้ายผู้อื่น ความเสียหายที่เกิดจากการทดลองวิทยาศาสตร์ ทางสำนักศึกษาล้วนยินดีแบกรับไว้ ในเวลาเดียวกัน สำนักศึกษาสตรีเองก็สนับสนุนการลงมือปฏิบัติเพื่อให้รู้แจ้ง ยกย่องทัศนคติการเรียนรู้เช่นนี้ ในสายตาของข้า คุณหนูสามสกุลเฉินกับหลี่เนี่ยนจวินนับเป็นแบบอย่างของสำนักศึกษาของพวกเรา”
เฉินเซียงตะลึงมองดูเฉินอิ๋ง ท่าทางเหมือนไม่อยากนึกเชื่อหูตนเอง จากเดิมที่คิดว่าจะถูกฉีกหน้า หรือไม่อย่างน้อยก็ต้องถูกตำหนิแน่ เฉินเซียงนึกไม่ถึงว่าเฉินอิ๋งไม่เพียงไม่ต่อว่าต่อขาน ตรงกันข้ามกลับยกย่องชื่นชม ความเห็นที่มีต่อเฉินหานเรียกได้ว่าสูงส่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“นี่เป็นคำพูดจากใจของข้า คุณหนูรองเฉินไม่จำเป็นต้องวิตกกังวล” เฉินอิ๋งยิ้มกล่าว จับมือนางไว้ก่อนจะหันกลับไปเดินขึ้นหน้า
เฉินเซียงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ในที่สุดใบหน้าก็กลับมายิ้มแย้ม นางรีบชักเท้าเดินขึ้นหน้าตามเฉินอิ๋งพลางยิ้มเอ่ยว่า “คำกล่าวของอาจารย์ใหญ่เฉินเช่นนี้ข้าผู้เป็นพี่สาวหากล้ารับไว้ไม่ เจ้าไม่ตำหนินางเท่านั้นก็ดีมากแล้ว”
เฉินอิ๋งยิ้ม เอ่ยปากทอดถอนใจ “หากศิษย์ในสำนักศึกษาสตรีล้วนเป็นเหมือนอย่างน้องสามของท่าน ข้าไหนเลยจะต้องวิตกกังวลว่าสำนักศึกษาแห่งนี้จะไม่รุ่งเรือง ไม่แน่ว่าศิษย์จากสำนักศึกษาของพวกเราอาจสามารถทิ้งนามไว้ในประวัติศาสตร์ได้”
เฉินเซียงยิ้มไม่พูดอันใด ในใจแม้จะรู้สึกว่าอาจไม่เป็นเช่นนั้น ทว่าเฉินหานในยามนี้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากมายจริงๆ นิสัยชอบยุให้รำตำให้รั่ว พูดจาบีบเค้นผู้คนหายไปหมดสิ้นแล้ว บางครั้งเห็นผู้เป็นน้องสาวอ่านหนังสือจนค่ำมืดดึกดื่น เฉินเซียงก็ให้รู้สึกว่าเฉินหานเช่นนี้ถึงจะน่ารักน่าใคร่
ขณะที่คนทั้งสองกำลังพูดคุยยิ้มหัวกัน เรือนทดลองก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ตอนเฉินอิ๋งกำลังจะเดินตามบันไดขึ้นไป จู่ๆ เสียงเอะอะเอ็ดตะโรก็ดังขึ้น อีกทั้งยังแฝงไว้ซึ่งเสียงร่ำไห้เสียงหวีดร้องตกใจของสตรี
ทุกคนต่างอกสั่นขวัญแขวน สองเท้าหยุดชะงัก เฉินเซียงใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มแขวนประดับอยู่ ส่ายหน้าเอ่ยปากกระเซ้าเหมือนมีศิษย์ก่อเรื่องซุกซน “ที่นี่เหมือนเรือนทดลองเสียที่ใดกัน เด็กๆ พวกนี้นี่จริงๆ เลย”
เฉินอิ๋งกลับรู้สึกเหมือนมีอะไรผิดปกติ นางหันมองไป สีหน้าเคร่งขรึม “ไม่เหมือนศิษย์ จากเสียงคล้ายดังลอยมาจากเรือนหลัก”
ทันทีที่พูดจบเฉินอิ๋งก็สังเกตเห็นสตรีสองสามนางจู่ๆ ก็วิ่งออกมาจากเรือนรับรอง แต่ละคนต่างตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก ทั้งร่ำไห้ทั้งร้องตะโกน
นางใจเต้นระส่ำ ถึงจะอยู่ห่างออกมาค่อนข้างไกล ทว่าเฉินอิ๋งกลับมองออกภายในปราดเดียว สตรีที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงร่ำไห้หนักที่สุดคือเสวียจื่อ!
“ต้องเกิดเรื่องขึ้นแล้วแน่ๆ” เฉินอิ๋งเอ่ยปากสรุปออกมาอย่างรวดเร็ว นางหันไปเอ่ยปากขออภัยต่อเฉินเซียง “เรื่องที่เรือนทดลองมอบให้ท่านจัดการก่อน ข้าจะไปดูสักหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น”
จนถึงตอนนี้เฉินเซียงเพิ่งจะตระหนักได้ นางไม่วายวิตกกังวล พยักหน้าติดๆ กันพลางกล่าว “ไปเถอะ ทางนี้มีข้าอยู่”
เฉินอิ๋งกล่าวขอบคุณก่อนจะรีบมุ่งหน้าตรงไปยังอาคารสำนักงาน
เสวียจื่อร่ำไห้จนเสียงแหบแห้ง ขวัญหนีดีฝ่อ พอเห็นเฉินอิ๋งปรากฏตัวนางก็ราวกับคนตกน้ำคว้าฟางเส้นสุดท้าย พุ่งตรงเข้ามาดึงเฉินอิ๋งไว้ ร่ำไห้กล่าว “อาจารย์ใหญ่เฉิน ท่านต้องช่วยน้องสามของข้าด้วย! รีบช่วยนางเร็วเข้า!” พูดจบนางก็สองตาเหลือกลานเป็นลมหมดสติไป
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนพฤษภาคม 66)