LOVE
ทดลองอ่าน ออดอ้อน… เพียงเธอ บทที่3-บทที่4
บทที่ 4
เงาแค้น
“เคยร่วมงานกันมาสองสามครั้ง เห็นท่าทางสุภาพใจดีอย่างนั้น แต่เรื่องงานนี่ละเอียดเว่อร์และเยอะสิ่งมากกก” วาสิตาลากเสียงยาวเพื่อยืนยันว่าจิณณพัตเป็นผู้ชาย ‘เยอะสิ่ง’ จริงๆ “ที่สำคัญเหมือนเขาเพิ่งจะอกหักมา ฉันไม่สะดวกเป็นช่างซ่อมหัวใจให้ใคร คนอย่างวาสิตา…สวยเลือกได้”
“ค่ะ!” พาขวัญกระแทกเสียงใส่เพื่อนด้วยความหมั่นไส้
“แต่แปลกนะที่แกไม่รู้จักคุณจิณณ์”
“แล้วทำไมฉันต้องรู้จักเขาด้วยล่ะ”
“คุณจิณณ์เขาเคยควงกับ ‘แก้วเกล้า’ แฟนของคุณอิชย์อยู่พักหนึ่ง แล้วคุณอิชย์เขาก็สนิทกับพี่ภักดิ์ของแกไม่ใช่เหรอ พี่ภักดิ์เขาไม่เคยพูดให้แกฟังบ้างเลยหรือไง”
“โห…ยาก”
พาขวัญกับภวิลไม่ได้สนิทถึงขั้นจะคุยเรื่องส่วนตัวกันอยู่แล้ว และคนอย่างภวิลก็ไม่มีทางเอาเรื่องเพื่อนมาคุยให้คนที่ไม่สนิทฟัง หรือต่อให้สนิทกันก็คงมีความเป็นไปได้น้อยมากที่เขาจะพูด
“เออ! ฉันก็ลืมไปว่าพี่ภักดิ์ของแกพูดน้อย”
วาสิตายิ้มขำเมื่อนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาแต่นิ่งเรียบของภวิล เขาเคยมารับพาขวัญที่มหาวิทยาลัยและเธอเคยไปทานข้าวกับเขาและพาขวัญครั้งหนึ่ง ภวิลนั่งฟังพวกเธอคุยกันโดยที่เขาแทบไม่พูดอะไร แต่เขาก็น่ารักอยู่อย่างหนึ่งคือไม่แสดงอาการเบื่อหน่ายหรือรำคาญพวกเธอเลย มิหนำซ้ำยังดูแลพวกเธอแบบเงียบๆ แต่ดูแลอย่างดี…เธอคิดว่าผู้ชายอย่างเขาน่ะเหมาะสมกับเพื่อนสนิทของเธอที่สุดแล้ว
“คุณท่านบอกให้คุณพลีสกลับกับผม”
หลังจบงานแฟชั่นโชว์ภวิลก็เดินเข้ามาหาพาขวัญเพราะพิธานรู้ว่าเธอมาที่งานจึงฝากให้เขาซึ่งเป็นคนออร์แกไนซ์งานนี้รับเธอกลับไปทานอาหารเย็นด้วยกันที่บ้านวงศ์วรารมย์
“ค่ะ” พาขวัญรับคำ
ก่อนหน้านี้พิธานโทรมาบอกให้หญิงสาวรับรู้ล่วงหน้าแล้ว
“พี่ภักดิ์นี่น่ารักจังเลยนะคะ”
วาสิตาที่ยืนอยู่ข้างๆ พาขวัญจงใจพูดแซวและยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อมองไปทางเพื่อนสนิท พาขวัญจึงรีบกระทุ้งศอกใส่เพื่อนไม่ให้แสดงอาการจนออกนอกหน้า เพราะตั้งแต่พิธานบอกเธอเรื่องภวิล หญิงสาวก็พยายามวางตัวเป็นปกติเหมือนไม่เคยรู้อะไรมาก่อน แต่ลึกๆ เธอก็รู้สึกได้ว่าระหว่างเขากับเธอมีบางสิ่งที่เปลี่ยนไป
แน่นอน…ทั้งภวิลและเธอต่างก็รู้แล้วว่าพิธานต้องการให้ทั้งคู่ลงเอยกัน
“ฝากยายพลีสด้วยนะคะพี่ภักดิ์”
“ครับ”
พูดจบชายหนุ่มก็สบตาพาขวัญเหมือนต้องการปรึกษาว่าเธอจะคุยกับเพื่อนต่อหรือกลับบ้านเลย หญิงสาวจึงบอกลาเพื่อนสนิทก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับเขาเพราะนี่ก็เย็นมากแล้ว เธอไม่อยากให้พิธานรอนาน แต่จังหวะนั้นทั้งสองคนเดินสวนทางกับแพรวอาภาพอดีทำให้ต้องหยุดเดินและเผชิญหน้ากันอย่างเสียมิได้
แพรวอาภามองพาขวัญด้วยหางตาก่อนจะจงใจเดินมากระแทกไหล่หญิงสาวแล้วเดินหน้าเชิดออกไปราวกับอยากประกาศศักดาต่อหน้าภวิล วินาทีนั้นพาขวัญเริ่มหมดความอดทนและเกือบจะเดินตามไปเอาเรื่องอีกฝ่ายอยู่แล้ว แต่ก็ติดที่ชายหนุ่มตามมาคว้าข้อมือเธอไว้เสียก่อน
หญิงสาวหันไปสบตาเขา ภวิลมองเธอด้วยสายตาที่เป็นผู้ใหญ่กว่าราวกับต้องการเตือนสติและบอกให้เธอใจเย็นๆ พาขวัญจึงได้แต่ถอนหายใจระบายความหงุดหงิด
“งั้นก็ไปกันเถอะค่ะ เดี๋ยวคุณพ่อจะรอนาน”
ร่างบางค่อยๆ ดึงมือออกจากมือของคนตัวสูงก่อนจะเดินนำไปที่ลานจอดรถ ชายหนุ่มรีบเดินตามไป หลังจากนั้นทั้งเขาและเธอต่างก็ไม่พูดอะไรกันอีกเลย จนกระทั่งรถวิ่งมาติดไฟแดง
ภวิลหันไปมองหญิงสาวเมื่อเห็นว่าเธอใจเย็นลงมากแล้ว
“คุณพลีสกับคุณแพรวยังมีเรื่องกันอยู่อีกเหรอ”
ชายหนุ่มเปิดบทสนทนาขึ้นก่อน พาขวัญที่นั่งเงียบมานานถึงกับไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองว่าเขาจะเป็นฝ่ายชวนคุย แต่บางทีพ่อเธออาจจะบอกให้เขาพยายามทำความรู้จักกับเธอให้มากขึ้นกระมัง คนที่พูดน้อยและมักจะเงียบใส่เธอจนกลายเป็นเรื่องปกติอย่างเขาถึงได้ชวนเธอคุย
“ก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะค่ะ”
“ผมนึกว่าโตๆ กันแล้วจะเลิกทะเลาะกันเสียอีก”
“พี่ภักดิ์ก็เห็นว่าพลีสอยู่ของพลีสเฉยๆ คนของพี่ภักดิ์นั่นแหละทำหน้าหาเรื่องใส่พลีสก่อน” น้ำเสียงของพาขวัญฉุนเฉียวขึ้นเมื่อภวิลพูดเหมือนเธอเป็นเด็กที่ทะเลาะกับเพื่อนด้วยเรื่องไร้สาระ
“คุณแพรวเป็นคนของผมตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็ยายแพรวเขาเคยแอบชอบพี่ภักดิ์นี่นา”
“แต่ผมไม่ได้ชอบคุณแพรว และเราแทบไม่เคยสานความสัมพันธ์กันเลยด้วยซ้ำ”
“พลีสรู้ค่ะ แต่รู้ตัวเอาไว้ด้วยนะคะว่าสาเหตุที่ยายแพรวแยกเขี้ยวใส่พลีสทุกครั้งที่เจอกันก็เพราะพี่ภักดิ์นั่นแหละ ยายแพรวคิดว่าพี่ภักดิ์ไม่ยอมรับรักเพราะพี่ภักดิ์เกรงใจพลีส งี่เง่าที่สุดเลย”
พาขวัญคิดว่าภวิลจะอธิบายถึงสาเหตุที่เขาปฏิเสธความรู้สึกดีๆ ของแพรวอาภาให้เธอฟัง แต่ชายหนุ่มกลับนิ่งเงียบราวกับยอมรับว่า…เขาไม่อาจตอบรับไมตรีของแพรวอาภาเพราะเกรงใจเธอจริงๆ
พี่ภักดิ์ไม่คิดจะอธิบายอะไรบ้างเลยหรือไง
หญิงสาวได้แต่สงสัยอยู่ในใจและน่าแปลก…ที่เธอไม่กล้าถามภวิลตรงๆ ว่าทำไมเขาถึงได้ปฏิเสธแพรวอาภา เป็นเพราะเหตุผลอื่นหรือเพราะเขาเกรงใจเธออย่างที่แพรวอาภาคิดมาตลอด
ทั้งสองคนไม่ได้คุยอะไรกันอีก เพราะปกติก็ใช่ว่าจะคุยกันบ่อยๆ อยู่แล้ว ยิ่งหลังจากที่พิธานพูดเรื่องที่ท่านอยากให้เธอแต่งงานกับภวิลก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกที่เธอมีต่อเขาเปลี่ยนไป มันไม่ใช่ว่าเธอรังเกียจหรือต่อต้านเขา เพียงแต่เธอรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเหมือนเดิม พอนั่งเงียบกันนานๆ พาขวัญจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเล่นทั้งๆ ที่เธอไม่ใช่คนติดโทรศัพท์มือถือหรือชอบหยิบมันมาเล่นขณะที่อยู่กับคนอื่นเพราะเธออยากให้ความสำคัญกับคนที่อยู่ด้วย แต่เธออึดอัดจนอยากหาอะไรทำกลบเกลื่อนซึ่งภวิลก็ไม่ได้ว่าอะไร
เขายังวางตัวเป็นปกติราวกับถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้ไม่มีผิด…
หญิงสาวทนอึดอัดราวๆ สี่สิบนาทีรถยนต์สีดำคันหรูก็ขับมาถึงบ้านหลังใหญ่ของครอบครัววงศ์วรารมย์ ภวิลเดินลงมาเปิดประตูรถให้อย่างเป็นสุภาพบุรุษ พอเธอก้าวลงจากรถเขาก็ปิดประตู
“ขอบคุณค่ะ”
พาขวัญเดินนำเข้าไปในบ้านโดยมีร่างสูงเดินเยื้องไปทางด้านหลังเล็กน้อยตามปกติของเขาที่เหมือนจะรู้ตัวเสมอว่าไม่ควรทำตัวทัดเทียมเธอ แม้ว่าเธอจะไม่เคยมองว่าเขาฐานะต่ำกว่าเลยก็ตาม ตรงกันข้ามเธอให้เกียรติภวิลเหมือนพี่ชายเสมอ เพราะพิธานเลี้ยงเขามาเหมือนลูก เขาอายุมากกว่า และปัจจุบันเขาก็มีความสำคัญกับบริษัท เธอรู้ดีว่าหากไม่มีเขา สถานการณ์ของวงศ์วรารมย์คงแย่แน่ๆ
“มาเร็วเหมือนกันนะ” พิธานยิ้มต้อนรับทั้งสองคน
“คิดถึงคุณพ่อจังเลยค่ะ” พาขวัญรีบเข้าไปกอดและอ้อนพ่อตามความเคยชิน
“วันนี้รถไม่ค่อยติดครับคุณท่าน” ภวิลรายงาน
“หิวกันหรือยัง” พิธานก้มมองลูกสาวที่อยู่ในอ้อมแขนหลังจากยิ้มขำให้กับความช่างประจบของเธอ “แต่ถึงยังไม่หิวก็ต้องไปทานข้าวกันแล้วล่ะ เพราะพ่อให้รุจาตั้งโต๊ะรอทุกคนแล้ว”
“ใครบอกว่าไม่หิวล่ะคะ พลีสหิวจะแย่แล้ว”
“แล้วภักดิ์ล่ะ ทำงานมาเหนื่อยๆ หิวหรือยัง”
“หิวแล้วครับ”
พิธานหัวเราะเมื่อเห็นพาขวัญมองหน้าภวิลเหมือนจะบอกให้เขาตอบไปในทิศทางเดียวกันและเขาก็ยอมตอบตามใจเธอเหมือนพี่ชายที่ตามใจน้องสาว ไม่อย่างนั้นพิธานคงไม่วายแซวลูกสาวตัวดีว่าแค่ไปนั่งดูแฟชั่นโชว์เฉยๆ แต่กลับหิวเสียยิ่งกว่าคนที่ทำงานหนักอย่างภวิลเสียอีก
ประมุขของบ้านวงศ์วรารมย์อารมณ์ดีเสมอเมื่อได้ทานอาหารเย็นอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา แต่ขณะที่ทั้งสามคนกำลังเดินเข้าไปในห้องทานอาหาร อติกันต์ก็เดินลงมาจากชั้นบนพอดี
ร่างสูงอยู่ในชุดที่ทุกคนมองปราดเดียวก็รู้ว่าเตรียมตัวออกไปข้างนอก…แต่งตัวดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ดูไม่เป็นทางการแบบนี้คงไม่ได้ไปที่ไหนนอกจากไปปาร์ตี้ไม่ก็ตระเวนราตรีตามเคย
“พักนี้นายภักดิ์แวะมาทานข้าวที่นี่บ่อยจังเลยนะครับพี่พิธาน” อติกันต์ทักทายก่อนจะยิ้มบางๆ ให้กับคนที่พูดถึง อีกฝ่ายจึงยกมือไหว้เขาตามมารยาทแม้จะอายุห่างกันแค่สามปี
“แล้วแกมีอะไรหรือเปล่า” พิธานถาม
“ไม่มีอะไรหรอกครับ แต่ไหนๆ เจอกันแล้วผมขอทานข้าวด้วยคนก็แล้วกัน จะได้ร่วมโต๊ะกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา คิดถึงเมื่อก่อนตอนที่นายภักดิ์ย้ายมาอยู่กับเราใหม่ๆ เหมือนกันนะ”
ว่าแล้วอติกันต์ก็เดินนำทุกคนเข้าไปในห้องทานอาหาร ภวิลนิ่งไปครู่หนึ่งเมื่ออีกฝ่ายพูดถึงเรื่องในอดีตที่เป็นเหมือนรอยแผลในใจเขา พิธานจึงตบไหล่เขาเบาๆ เหมือนจะบอกว่าอย่าไปสนใจ
ภวิลรู้ดีว่าอติกันต์แทบไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเขา ตอนที่พิธานรับเขาเข้ามาอยู่ในบ้านวงศ์วรารมย์นั้นอติกันต์กับเขาก็แทบไม่ได้เจอกันและอีกฝ่ายแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย เพราะอติกันต์ติดเพื่อนอย่างหนักจนไม่ค่อยได้กลับบ้าน จะบอกว่าอติกันต์สนใจแค่ตัวเองก็คงไม่ผิด เพราะกับพาขวัญเองอติกันต์ก็ยังแทบไม่ได้สนใจเลย…แต่หลังกลับจากต่างประเทศนี่แหละที่อติกันต์ดูจะสนอกสนใจหลานสาวมากยิ่งขึ้น และเห็นภวิลในสายตามากขึ้น ไม่ใช่ในฐานะญาติหรือเพื่อนร่วมงาน แต่ในฐานะศัตรูหรือคู่แข่งมากกว่า
ปกติอติกันต์ไม่ค่อยทานอาหารเย็นที่บ้าน เวลาที่ภวิลมาที่นี่จึงมักจะนั่งตรงข้ามกับพาขวัญ แต่วันนี้อติกันต์อยู่ด้วย ที่นั่งตรงนั้นจึงกลายเป็นของอีกฝ่าย ทำให้เขาต้องนั่งถัดจากอติกันต์อีกทีและอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะพยายามกันเขาออกจากบทสนทนาด้วยการชวนพาขวัญคุยอยู่คนเดียว
ถึงกระนั้นภวิลก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเพราะปกติเขาไม่ใช่คนชอบคุยอยู่แล้ว
“วันนี้งานเป็นยังไงบ้าง เห็นว่าเป็นงานใหญ่ เชิญเซเลบมาเยอะเลยนี่” พิธานหาจังหวะชวนภวิลคุยเพื่อให้เขามีบทบาทบ้าง ท่านไม่ได้อยากชวนเขามาที่นี่เพื่อมาเป็น ‘คนอื่น’
“ก็ดีครับ สื่อให้ความสนใจเยอะดี เจ้าของงานก็ดูจะพอใจมาก”
“ปีหน้าก็คงไม่พ้นที่ภักดิ์จะได้ดูแลงานนี้อีก”
ภวิลยิ้มรับเพราะรู้ว่านั่นคือคำชม งานออร์แกไนซ์จะมีอะไรดีไปกว่าคนที่เคยจ้างงานกลับมาจ้างอีกเพราะประทับใจในการทำงาน พออติกันต์เห็นว่าพาขวัญกำลังเก็บข้อมูลก็รีบพูดแทรกขึ้น
“แล้วที่โรงเรียนของน้องพลีสเป็นยังไงบ้าง ได้ข่าวว่าดาราดังก็ไปเรียนกับน้องพลีสเหรอ”
“ไม่ได้มาเรียนเพราะพลีสหรอกค่ะ มาเรียนกับครูฤดีต่างหาก แต่พอมีดาราดังๆ มาเรียนด้วยก็ดีค่ะ ได้ประชาสัมพันธ์โรงเรียนไปในตัว ผู้ปกครองที่อยากให้เด็กๆ กล้าแสดงออกและอยากดันลูกเข้าวงการก็กล้าส่งลูกมาเรียนมากขึ้น นี่คอร์สเด็กประถมของพลีสเปิดรับสมัครแค่ไม่กี่วันก็เต็มแล้วนะคะ”
“เห็นภักดิ์บอกว่าอีเวนต์เปิดตัวนมผงสูตรใหม่อาทิตย์หน้านี้อยากหาเด็กๆ ไปแสดงเปิดงานนี่นา ตกลงว่าหาเด็กๆ ได้หรือยัง ถ้ายังก็ติดต่อนักเรียนของน้องพลีสเขาไปลองดูมั้ย” พิธานว่า
“คุณพลีสสนใจมั้ยครับ” ภวิลถาม
“พี่ภักดิ์จะให้นักเรียนของพลีสไปแสดงจริงๆ เหรอคะ” พาขวัญถามอย่างตื่นเต้นยินดี
“ถ้าคุณพลีสสนใจเดี๋ยวลองคุยรายละเอียดกันดูได้ครับ” ภวิลบอกอย่างเป็นงานเป็นการ “แต่อาจจะต้องเร่งซ้อมการแสดงหน่อยนะ เพราะงานจะมีในอาทิตย์หน้านี้แล้ว”
“แหม! พลีสต้องสนใจอยู่แล้วสิคะ” เธอยิ้มรับ
“น้องพลีสทุ่มเทให้กับโรงเรียนสอนการแสดงแบบนี้ก็คงไม่มีเวลาเข้าไปดูแลบริษัทเลยใช่มั้ย” อติกันต์วกเข้าประเด็นที่เขาอยากพูด “น้องพลีสไปดูๆ บ้างก็ดีนะ จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
“ที่บริษัทก็มีคุณพ่อกับพี่ภักดิ์ดูแลอยู่แล้วนี่คะ”
“แต่ยังไงน้องพลีสก็ต้องไปเรียนรู้และทำความรู้จักกับพวกพนักงานเอาไว้บ้าง อนาคตอะไรมันก็ไม่แน่ไม่นอนหรอก” อติกันต์พูดต่อแล้วหันไปมองภวิลราวกับจะบอกให้พาขวัญระวังชายหนุ่มเอาไว้
พิธานได้ฟังดังนั้นก็รู้ว่าอติกันต์กำลังจะยุยงให้พาขวัญไม่ไว้ใจภวิล
“ที่นายกันต์พูดก็ถูก” พิธานว่า ถึงจะไม่พอใจในคำพูดของอติกันต์ แต่ท่านก็หัวไวพอที่จะแก้เกม “งั้นอีกสองสามวันภักดิ์มารับน้องพลีสไปที่บริษัทด้วยกันสิ น้องพลีสจะได้เข้าไปทำความรู้จักกับพนักงานเอาไว้ เพราะฉันเองก็ตั้งใจว่าจะหาโอกาสพาน้องพลีสไปแนะนำกับทุกคนอยู่แล้ว”
“ได้ครับคุณท่าน”
ภวิลไม่ขัดข้องเพราะเขาอยากให้พาขวัญรับรู้ขั้นตอนในการทำงานและรู้จักกับพนักงานคนสำคัญในบริษัทอยู่แล้ว เธอจะได้ตรวจสอบเขาได้หากรู้สึกไม่ไว้วางใจหรือระแคะระคายอะไรก็ตาม
ที่สำคัญจะได้ไม่มีใครมาพูดได้ว่าเขายึดอำนาจเอาไว้คนเดียว
“อะไรกันคะ พลีสยังไม่ได้ตอบตกลงเลยนะ” พาขวัญโวยวาย
“จะไม่ตกลงได้ยังไง พี่ภักดิ์เขางานเยอะกว่าเรา เขายังไม่มีปัญหาอะไรเลย ใช่มั้ยภักดิ์”
“ครับ”
พาขวัญถึงกับพ่นลมหายใจอย่างขัดใจ ไม่ว่าพิธานจะพูดอะไร ภวิลก็รับคำตลอด เข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย แล้วแบบนี้จะไม่ให้เธอคิดว่าเขาเป็นหุ่นยนต์ของพิธานได้ยังไงกัน!
ภวิลนัดเจออิชยะและแก้วเกล้าที่ร้าน ‘Nice Life’ ซึ่งเป็นร้านอาหารกึ่งผับที่อยู่ในความดูแลของแก้วเกล้าเอง ที่นี่เปิดบริการมาประมาณสองปีและได้รับความนิยมจากลูกค้าในกลุ่มชนชั้นกลางไปจนถึงผู้มีอันจะกิน เพราะตั้งอยู่ในย่านธุรกิจชื่อดัง ภาพลักษณ์ของร้านดูหรูหรา ดนตรีไพเราะ รสชาติอาหารถูกปาก อาหารแต่ละจานถูกจัดแต่งอย่างสวยงามไม่แพ้บรรยากาศในร้านที่สวยเก๋และเหมาะจะถ่ายรูปอวดในโซเชียล
ร้านนี้เปิดบริการตั้งแต่หกโมงเย็นจนถึงเที่ยงคืน มีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย โดยเฉพาะในโซนวีไอพีที่อยู่บนชั้นสองและมีความเป็นส่วนตัวมากกว่าโซนอื่นๆ จะได้รับความนิยมมากจนต้องโทรมาจองโต๊ะล่วงหน้าไม่ต่ำกว่าสองวัน และคืนนี้ในช่วงเวลาสองทุ่ม โต๊ะที่ดีที่สุดของโซนนี้ได้ถูกจองเอาไว้แล้ว
หลังเสร็จงานชายหนุ่มก็รีบมาตามนัด เขามาถึงที่ร้านตอนสองทุ่มตามเวลานัดหมาย แต่พอเดินไปยังโต๊ะวีไอพีที่ถูกจองเอาไว้ล่วงหน้าก็พบว่าอิชยะกับแก้วเกล้านั่งรออยู่แล้ว และเมื่อสังเกตปริมาณเครื่องดื่มที่ยังเหลืออยู่ในแก้วของทั้งสองคน ภวิลคิดว่าอิชยะน่าจะมารอเขาได้สักพัก
ก็ไม่น่าแปลกอะไรหรอก…
ไม่ใช่เพราะปกติอิชยะเป็นคนมาก่อนเวลานัดนานๆ แต่เป็นเพราะเขาคบหากับแก้วเกล้ามาเป็นปีแล้วและไม่น่าเชื่อเลยว่าผู้ชายอย่างเขาจะเป็นคนติดแฟนมาก ทุกวันนี้หลังเลิกงาน ถ้าไม่มีธุระที่ไหน เวลาของอิชยะทั้งหมดจะเป็นของแก้วเกล้าโดยที่เธอไม่ต้องร้องขอเพราะอิชยะสมัครใจจะยกเวลาทั้งหมดนั้นให้เธอด้วยความเต็มใจอย่างที่สุดทั้งๆ ที่กับผู้หญิงคนก่อนๆ ก็ไม่เคยเป็นเช่นนี้
เมื่อก่อนอิชยะมีผู้หญิงเกี่ยวพันในชีวิตไม่เคยขาด แต่เขาไม่เคยมอบหัวใจให้ใคร เขาอยู่เหนือทุกความสัมพันธ์เสมอและมักเป็นฝ่ายคุมเกมทุกอย่าง จนกระทั่งเขาได้พบกับแก้วเกล้า
ชายหนุ่มเริ่มต้นความสัมพันธ์กับเธออย่างเห็นแก่ตัว ไร้หัวใจ คิดว่าตนเองอยู่เหนือกว่าและเป็นฝ่ายควบคุมทุกอย่างเหมือนที่ผ่านมา ทว่านานวันเข้าเขากลับควบคุมอะไรไม่ได้เลย
แม้กระทั่ง…หัวใจของตัวเอง
อิชยะตกหลุมรักแก้วเกล้าโดยไม่รู้ตัวในตอนที่เกือบจะสูญเสียเธอไปให้กับผู้ชายคนอื่น เขาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้เธอหวนกลับมา และภวิลก็รู้ดีว่ากว่าอิชยะจะทำให้แก้วเกล้าเชื่อใจจนยอมวางหัวใจไว้ในมือของอิชยะอีกครั้งนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย…ไม่ง่ายเลยจริงๆ
ภวิลจึงไม่แปลกใจที่อิชยะจะรักหญิงสาวเหลือเกิน และเพราะอิชยะรักเธอมากนี่เอง เธอจึงตอบแทนเขาด้วยความรักดุจเดียวกัน และตอนนี้ทั้งสองคนก็ตัดสินใจจะแต่งงานกันในอีกสี่เดือนข้างหน้า
นั่นคือเหตุผลที่อิชยะนัดภวิลมาเจอกันในคืนนี้
“คุณภักดิ์มาแล้วค่ะ คุณน่ะเลิกวอแวฉันได้แล้ว เกรงใจเพื่อนคุณหน่อยสิ”
แก้วเกล้าบอกพร้อมกับดึงมืออิชยะที่โอบอยู่บนเอวของเธอออกไปวางไว้ที่อื่นพร้อมขยับออกห่างจากอีกฝ่ายเกือบฟุต แต่ชายหนุ่มก็ขยับตามไปแล้วโอบเอวบางเอาไว้เหมือนเดิม
“คุณอิชย์!” หญิงสาวจ้องคนรักด้วยสายตาดุๆ
“สวีตกันให้นายภักดิ์มันดูหน่อย มันจะได้เลิกทำตัวนิ่งๆ เป็นหุ่นยนต์แล้วรุกจีบคุณพลีสสักที” อิชยะว่าพลางนั่งไขว่ห้างอย่างสบายใจพร้อมปรายตามามองเพื่อนสนิทด้วยท่าทีโอ้อวด
“ถ้าไม่ติดว่าเห็นแก่คุณเกล้า…งานแต่งที่แกจะให้ฉันจัดให้อาจจะกลายเป็นงานศพของแกแทนก็ได้นะ” ภวิลตอกกลับด้วยสีหน้านิ่งเรียบพลางนั่งลงบนโซฟาตัวตรงข้าม
“ไอ้ภักดิ์!” อิชยะถลึงตาใส่เพื่อนอย่างดุเดือด กว่าเขาจะทำให้แก้วเกล้ายอมตกลงใจแต่งงานด้วยไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ภวิลจะมาแช่งเขาแบบนี้ได้ยังไง “ดูไอ้ภักดิ์นะเกล้า…มันแช่งผม”
แก้วเกล้ายิ้มขำเมื่อคนรักหันมาฟ้องเธอเหมือนเด็กๆ ถูกเพื่อนแกล้ง แต่เธอก็รู้ว่าภวิลกับอิชยะสนิทกันมาก และทั้งสองคนมักจะแซวหรือพูดเล่นกันแรงๆ เป็นปกติอยู่แล้ว
และเพราะคบหากับอิชยะมาเป็นปีแล้วนี่แหละที่ทำให้เธอได้เจอกับภวิลหลายครั้งจนเกิดความคุ้นเคย แม้จะยังไม่ถึงขั้นเป็นเพื่อนหรือสนิทกัน แต่ก็สามารถพูดคุยหรือพูดเล่นได้บ้าง
“แล้วคุณภักดิ์กับคุณพลีสเป็นยังไงบ้างคะ เห็นคุณอิชย์เล่าว่าพักนี้คุณภักดิ์ได้เจอคุณพลีสบ่อยๆ คืบหน้าไปบ้างหรือยัง” เธอถามด้วยความอยากรู้และเอาใจช่วย
ความจริงแล้วแก้วเกล้าคิดว่าภวิลเป็นผู้ชายที่ดูดีมาก เขาเพียบพร้อมทั้งรูปร่างหน้าตา ความสามารถ และฐานะ เมื่ออิชยะเปรยว่าเขายังโสดเธอจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าเขา ‘ตกสำรวจ’ สาวๆ มาได้ยังไงหรือว่าเขาเลือกมากเอง สุดท้ายก็ได้รู้ว่าภวิลมีคนในใจอยู่แล้วและกำลังรอคอยเวลาที่เหมาะสม
และใครคนนั้นน่าจะเป็นพาขวัญนั่นเอง
อิชยะเคยเล่าเรื่องภวิลให้แก้วเกล้าฟังว่าอีกฝ่ายไม่เคยยอมรับว่ารักพาขวัญหรือคิดเกินเลยกับหญิงสาวมากเกินกว่าลูกสาวของผู้มีพระคุณ แต่อิชยะดูออกเพราะภวิลไม่เคยเปิดตัวว่าคบกับผู้หญิงคนไหนเลยราวกับกำลังรอใครสักคน และใครคนนั้นจะเป็นใครไปได้เล่า…ถ้าไม่ใช่คนที่ภวิลเฝ้ามองมาตลอดอย่างพาขวัญ ถึงกระนั้นทั้งสองคนก็ไม่ได้ยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่าย
จะมีพูดคุยและถามไถ่บ้างก็ตอนที่พบหน้ากันอย่างนี้นี่แหละ
“สรุปว่านัดผมออกมาคุยเรื่องงานแต่งหรืออยากอัพเดตเรื่องของผมกันแน่ครับ”
ภวิลเลิกคิ้วถามด้วยสีหน้านิ่งๆ แต่ก็ทำให้แก้วเกล้าหลุดขำออกมา เธอรู้ว่าเขามักจะทำสีหน้านิ่งขรึมและน้ำเสียงเซ็งๆ ติดจะดุนิดๆ เพื่อเลี่ยงการพูดคุยเรื่องพาขวัญ หากไม่รู้จักกันมาก่อนคงคิดว่าเขากำลังไม่พอใจ แต่เธอรู้ว่าเขาแค่กลบเกลื่อนเท่านั้น บางทีนี่อาจเป็นวิธีซ่อนความเขินอายของเขา
“ทั้งสองอย่างนั่นแหละ ฉันกับเกล้ามีความสุขกันแล้ว ฉันก็อยากเห็นแกมีความสุขด้วย”
อิชยะตอบ เขากับภวิลสนิทกันก็จริง แต่ทั้งสองเว้นระยะห่างตามความเหมาะสม และไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของกันและกันนอกจากจะพูดแซวกันบ้าง นั่นทำให้พวกเขาสบายใจจนคบกันได้นาน
“ถ้าเป็นคุณเกล้าพูดฉันก็จะเชื่อนะว่าหวังดี แต่พอเป็นแกพูด…ฉันรู้สึกได้ถึงความเยาะเย้ยถากถาง”
“เกล้า! คุณดูมัน!”
อิชยะฟ้องคนรักเมื่อถูกเพื่อนสนิทตอกหน้า แต่หญิงสาวกลับหัวเราะชอบใจที่เห็นพวกเขากัดกันเป็นเด็กๆ มุมนี้ของพวกเขาสองคนทั้งตลกและน่ารักในสายตาเธอ ใครจะเชื่อว่านักธุรกิจหนุ่มที่ภาพลักษณ์เด็ดขาด ทำงานเก่ง มีความเป็นผู้นำ และดูเป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถืออย่างภวิลกับอิชยะจะกัดกันเป็นเด็กประถมแบบนี้ แต่เห็นพวกเขาสองคนสนิทกันและไว้ใจกันเธอก็พลอยรู้สึกดีไปด้วย
หญิงสาวพอจะรู้มาว่าภวิลเป็นเพื่อนรุ่นพี่ร่วมคณะสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของอิชยะ อีกฝ่ายอายุมากกว่าคนรักของเธอแค่ปีเดียว ทั้งสองคนสนิทกันเหมือนเพื่อนรุ่นเดียวกัน แม้ว่าหลังเรียนจบแล้วต่างคนจะต่างทำงานจนมีโอกาสได้เจอกันน้อยลง แต่ทุกครั้งที่นัดเจอกันก็ยังสามารถพูดคุยกันได้อย่างสนิทใจ
อิชยะกับภวิลเป็นพวกมีกำแพงกั้นตัวตนค่อนข้างหนาทำให้สนิทใจกับใครได้ยาก แต่ด้วยความที่ทั้งสองคนมีอะไรหลายอย่างในชีวิตคล้ายกันจึงทำให้เข้าใจและสนิทใจกันได้…