“เจรจาต่อ-ตาย ตอน อัตตา”
โดย tiara
บทที่ 1
เขาตัดสินใจจอดรถยนต์ส่วนตัวไว้หน้าบ้านเดี่ยวสไตล์โมเดิร์นหลังใหญ่ ที่ดูเหมือนจะสร้างขึ้นมาใหม่บนพื้นที่ดั้งเดิมในย่านเก่าแก่ของกรุงเทพมหานคร หัสยุทธลงจากรถมายืนมองตัวบ้านและอาณาเขตเบื้องหน้าด้วยความทึ่ง เขานึกภาพตัวเองไม่ออกเลยว่าหากต้องทำงานรับราชการเป็นตำรวจตลอดชีวิต และเมื่อเกษียณอายุแล้วจะมีบ้านหลังใหญ่โตเช่นนี้ได้อย่างไร แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วกับท่านขจร อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่เขาพยายามขอเข้าพบเป็นการส่วนตัวมากว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
หัวหน้าหน่วยเจรจาต่อรองในสถานที่เกิดเหตุอาชญากรรมจดจำวันที่เข้ารายงานตัวก่อนที่ตนจะเดินทางไปศึกษาหลักสูตรพิเศษในต่างประเทศได้ดี ท่านขจรพูดหลายครั้งว่าขอฝากความหวังของสำนักงานตำรวจแห่งชาติไว้กับผู้ที่ได้รับทุนทั้งหลาย และขอให้จดจำไว้ว่าการได้รับทุนเพื่อศึกษาต่อในครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีที่พวกเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตที่เป็นอยู่ไปได้อย่างสิ้นเชิง และความโชคดีในวันนั้นทำให้เขาต้องมาขอความกระจ่างจากอดีตผู้บังคับบัญชาในวันนี้ ความคับข้องใจ ระแวงสงสัยเกี่ยวกับหน่วยงานเจรจาต่อรองทำให้เขารู้สึกว่าตนเองกำลังเป็นหมากตัวหนึ่งในเกมกระดานของใครบางคน
ยังไม่ทันจะกดกริ่งที่หน้าประตู ชายรูปร่างผอมสูง ตัดผมสั้นเกรียนคนหนึ่งก็โผล่มาทางด้านข้างของประตูรั้ว คล้ายกับเขาแอบดูผู้มาเยือนอยู่ตรงนั้นมาพักหนึ่งแล้ว
“มาหาใครครับ”
“ผมมีนัดกับท่านขจร”
หัสยุทธอดคิดตามประสาคนชอบสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดคนรับใช้ในบ้านของอดีต ผบ.ตร. จึงดูคล้ายนายตำรวจในราชการชั้นผู้น้อยนัก สังเกตจากรูปร่าง ทรงผม ไปจนถึงท่าทางการยืน การเดิน หรือแม้กระทั่งการพูดก็เหมือนคนที่ถูกฝึกเพื่อมาเป็นข้าราชการตำรวจ แต่ด้วยเหตุผลใดจึงมาทำงานกับอดีตนายตำรวจที่เกษียณอายุราชการไปแล้วและไม่ได้มีอำนาจใดๆ ในสถาบันตำรวจเช่นนี้ได้
“ชื่ออะไรครับ”
“หัสยุทธ จากหน่วย NIC”
เมื่อเฉลยชื่อและสังกัดเพียงสั้นๆ เท่านั้นชายคนดังกล่าวก็ทำความเคารพด้วยท่าวันทยหัตถ์ทันที จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาเป็นข้าราชการตำรวจจริงๆ และแม้ว่าหัสยุทธจะไม่ได้สวมเครื่องแบบแต่เขาก็ทำความเคารพตอบ เขาคงเข้าใจสายการบังคับบัญชาในสถาบันเป็นอย่างดี จากนั้นคนที่ยืนอยู่ด้านในก็เปิดประตูรั้วให้พร้อมกับกล่าวคำอนุญาตที่ถูกสั่งไว้
“เชิญสารวัตรขับรถเข้ามาจอดข้างในเลยครับ คนในบ้านสั่งไว้แล้วว่าให้เชิญสารวัตรเข้าไปได้เลย”
“ขอบใจ”
นายตำรวจหนุ่มใหญ่พยักหน้าแล้วหันหลังกลับขึ้นรถของตัวเอง เขาไม่รีบร้อนและพยายามเก็บรายละเอียดที่เห็นทั้งหมดไว้ในความทรงจำ
คฤหาสน์หลังใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยสวนสวยดูร่มรื่นสบายตาแต่กลับเงียบเหงา หัสยุทธเห็นคนดูแลต้นไม้อยู่สองคนซึ่งแต่งตัวไม่ต่างจากชายคนที่มาเปิดประตูรั้วให้เขา ท่าทางท่านขจรจะชอบให้คนรับใช้ในบ้านปฏิบัติตัวเหมือนตำรวจชั้นผู้น้อยที่คอยรับใช้นายตำรวจชั้นสูงกว่า เขาอาจจะชอบให้ตัวเองอยู่ในบรรยากาศแบบเดิมๆ เหมือนที่เคยเป็นก็ได้ ว่ากันว่าผู้ยิ่งใหญ่ในวิชาชีพของตนบางคนก็ยังเสพติดกับความสำเร็จในอดีตอยู่ แม้จะพ้นอำนาจวาสนามาแล้วแต่ก็อดที่จะใช้ชีวิตแบบเดิมไม่ได้
ทันทีที่รถยนต์ของหัสยุทธจอดสนิทชายฉกรรจ์อีกสองคนก็เดินออกมาจากตัวบ้าน พวกเขาเดินตรงมาหาแขกอย่างไม่ลังเล แม้ใบหน้าจะดูไม่ดุดันอะไรนักแต่ก็เคร่งขรึมเกินกว่าจะตัดสินได้ว่าเป็นคนใจดี หัสยุทธหันไปหยิบตะกร้าผลไม้บนเบาะด้านข้างแล้วจึงเปิดประตูรถออกไป ชายทั้งสองหยุดยืนห่างจากประตูรถไปราวสามก้าว เมื่อแขกยืนนอกตัวรถแล้วสายตาของพวกเขาก็ดูจะอ่อนลงเล็กน้อย คงเห็นว่ารูปร่างและบุคลิกภาพโดยรวมของผู้มาเยือนนั้นพวกเขาไม่สามารถข่มขวัญได้ง่ายๆ
“สารวัตร…” เป็นคำทักทายง่ายๆ ก่อนจะก้มศีรษะให้ “ท่านรออยู่ครับ”
“ครับ ผมเอานี่มาด้วย”
หัสยุทธยื่นตะกร้าผลไม้จากต่างประเทศที่จัดไว้อย่างสวยงามและน่ารับประทานให้ เขารู้ดีว่ามันจะต้องถูกตรวจสอบก่อนจะนำไปมอบให้ผู้เป็นเจ้าของบ้าน หนึ่งในนั้นรับตะกร้าในมือของเขาไปแล้ว อีกคนก็ตั้งคำถามก่อนที่หัสยุทธจะก้าวเดิน
“ไม่ได้พกอาวุธนะครับ”
คนถูกถามหันไปสบตานิ่งแล้วตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ “หากไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ผมก็ไม่พกอาวุธ แต่ถ้าจะตรวจก่อนก็เชิญ”
ไม่เพียงอนุญาตแต่ยังกางแขนให้ด้วย คนที่ถือตะกร้าผลไม้อยู่หันไปพยักหน้าให้เพื่อนแล้วเป็นฝ่ายตอบหัสยุทธเสียเอง
“ไม่เป็นไรครับ ท่านไว้ใจสารวัตร”
คำตอบนั้นทำให้หัสยุทธรับรู้ได้ทันทีว่าคนในบ้านมีการพูดถึงเขามาก่อนหน้านี้ และขจรเองก็คงรำลึกถึงเขาหรือแม้กระทั่งตรวจสอบประวัติของเขามาหมดแล้ว
จากนั้นชายร่างสูงทั้งสามก็เดินเข้าไปในตัวบ้านซึ่งมีลักษณะเป็นอาคารสูงสามชั้นสีเทาและครีม มันถูกออกแบบได้อย่างทันสมัย ตัวตึกเน้นความโปร่งและร่มรื่นด้วยกระจกสีชากับระเบียงซึ่งมีกระถางต้นไม้วางประดับอยู่ คนที่อาศัยอยู่ที่นี่คงมีมากกว่าหนึ่งครอบครัว เพราะพื้นที่ในการใช้สอยมีมาก หัสยุทธประเมินสิ่งเหล่านี้จากจำนวนชั้นของอาคารและระเบียงที่ยื่นออกมา