LOVE
ทดลองอ่าน เจรจาต่อ-ตาย ตอน อัตตา บทที่ 1-บทที่ 2
เมื่อก้าวเข้าไปในอาคาร ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่กระจายทั่วทำให้รู้สึกถึงความเหน็บหนาวและเย็นชา ซึ่งแตกต่างจากอากาศด้านนอกอย่างสิ้นเชิง ชายสองคนที่เป็นคนเชิญหัสยุทธเข้ามานั้นผายมือให้เขานั่งรอในห้องรับแขกซึ่งเป็นโถงใหญ่กลางบ้าน ภายในตกแต่งด้วยสีขาวเป็นหลัก ทั้งโซฟาและตู้ใส่รางวัลเกียรติคุณต่างๆ ในวิชาชีพของผู้เป็นเจ้าของบ้านนั้นล้วนเป็นสีขาวสะอาดตา
“รอที่นี่สักครู่นะครับสารวัตร”
หัสยุทธพยักหน้าให้ก่อนชายทั้งสองจะเดินห่างออกไป จากนั้นเขาก็มีโอกาสกวาดสายตามองภาพถ่ายซึ่งถูกติดไว้บนผนัง กรอบรูปสีทองทำให้ภาพของผู้คนในนั้นยิ่งเด่นชัด ชายในเครื่องแบบนายตำรวจเต็มยศดูทรงเกียรติและมีอำนาจนั่งอยู่ตรงกึ่งกลางภาพเคียงคู่ด้วยภรรยาในชุดไทยสีครีม และมีบุตรชายหญิงต่างก็สวมสูทยืนอยู่รายรอบ ถัดมาเป็นภาพครอบครัวซึ่งมีเด็กเล็กๆ รวมอยู่ในนั้นด้วย คงจะเป็นรุ่นหลานของขจร ภาพที่ใหญ่ที่สุดและเป็นจุดรวมสายตาน่าจะถูกถ่ายไว้หลังจากที่ท่านขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแล้ว เหรียญตราบนชุดนั้นบอกหัสยุทธให้รู้…
“สวัสดีสารวัตร…หัวหน้า NIC สินะ”
หัสยุทธลุกขึ้นยืนทันทีที่ได้ยินเสียงทัก เมื่อหันไปตามเสียงเรียกนั้นเขาก็ต้องประหลาดใจ ชายคนที่เขาเคยเห็นเมื่อหลายปีก่อนนั้นไม่ได้อยู่ในภาพลักษณ์ที่เหมือนเดิมอีกแล้ว อย่างน้อยในรูปถ่ายที่ถูกแขวนอยู่บนฝาผนังก็ไม่มีรูปไหนเลยที่เป็นเช่นนี้ ตอนนี้เขาดูชราภาพลงไปมาก หากจะเดาคร่าวๆ ก็คงมีอายุใกล้เจ็ดสิบปีเต็มทน แต่ที่เกินความคาดหมายของแขกกลับเป็นสภาพของท่านขจรบนรถวีลแชร์ นายตำรวจร่างใหญ่พยายามปรับสีหน้าของตนให้เป็นปกติโดยเร็วเพราะรู้ดีว่าชายสองคนที่เดินตามรถวีลแชร์ไฟฟ้าของท่านขจรมานั้นก็กำลังจับจ้องเขาอยู่เช่นกัน
“สวัสดีครับท่าน”
แม้จะไม่ได้สวมเครื่องแบบแต่หัสยุทธก็ยกมือวันทยหัตถ์ให้ เจ้าของบ้านบังคับรถด้วยตัวเองให้มาหยุดลงใกล้กับโซฟาตัวตรงข้ามกับที่แขกเคยนั่งอยู่ เขามีสายตาที่ฝ้าฟางเล็กน้อยแต่ก็ยังดูเฉลียวฉลาดมีไหวพริบ ผมสีขาวบางจนมองเห็นหนังศีรษะ ส่วนผิวพรรณนั้นก็ตกกระไปทั่ว หัสยุทธมองไม่เห็นขาใต้กางเกงแพรว่ามันลีบเล็กลงหรือไม่เพราะชายชรามีผ้าห่มวางไว้บนตักอีกชั้นหนึ่ง ส่วนขจรก็ใช้เวลาสังเกตหัสยุทธอีกนิดก่อนจะเอ่ยปากอนุญาตให้เขานั่ง เมื่อทุกอย่างดูจะพร้อมสำหรับการสนทนาแล้วจู่ๆ ขจรก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น ชายผู้ดูแลเจ้าของบ้านทั้งสองขยับตัวรอรับคำสั่งทันที
“ออกไปก่อน”
เสียงแหบห้าวนั้นสั่ง แม้จะไม่น่ากลัวแต่ก็เด็ดขาดพอที่จะไม่ปล่อยโอกาสให้คนฟังถามต่อ ทั้งคู่จึงได้แต่รับคำแล้วถอยห่างออกไปอีกครั้ง
“สารวัตรมาหาผมทำไม”
คำถามแรกก็ตรงประเด็นทันที มันทำให้หัสยุทธรื้อความทรงจำเกี่ยวกับท่านขจรขึ้นมาได้อีกข้อว่าเขาเป็นคนพูดตรงแค่ไหน… ’อย่าเพิ่งมีเมียฝรั่ง เรียนให้จบก่อน อย่าลืมว่าเอาเงินหลวงไปเรียน’ นั่นเป็นคำสั่งสุดท้ายที่พวกนักเรียนทุนอย่างเขาได้รับจากผู้บังคับบัญชาสูงสุดในขณะนั้น
“ผมมาเยี่ยมท่านครับ”
ขจรยิ้มมุมปากอย่างรู้ทันความคิดของคู่สนทนา “มีคนไม่น้อยที่มาเยี่ยมผมพร้อมกับคำพูดนี้ แต่นั่นเขาจะมาในช่วงที่ผมมีอำนาจอยู่”
ชายชราคนนี้ฉลาดเกินกว่าที่เขาจะล้วงความลับใดๆ ออกมาได้ง่าย เพียงสนทนากันไม่กี่ประโยคหัสยุทธก็รู้แล้วว่าเขาเดินเข้าถ้ำเสือเสียแล้ว
“ผมไม่ได้ต้องการอะไรจากท่านครับ”
“นั่นน่ะสิ ถึงยังไงตอนนี้ผมคงให้อะไรกับสารวัตรไม่ได้ เพราะตำแหน่งที่สารวัตรดำรงอยู่มันก็มั่นคง สูงส่งกว่าคนแก่ที่นั่งรถเข็นอย่างผมอยู่แล้ว”
ขจรหัวเราะในลำคอ หัสยุทธจึงยิ้มรับตามมารยาท
“ท่านสบายดีนะครับ”
“ก็ตามสภาพที่คุณเห็น แล้วงานของสารวัตรล่ะเป็นยังไงบ้าง ผมเคยเห็นภาพข่าวการทำงานของหน่วย NIC” ชายชรายิ้ม “ช่างเป็นหน่วยงานที่น่าภาคภูมิใจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ”
“ขอบคุณครับ ผมพยายามกระตุ้นให้ลูกน้องในหน่วยทุกคนทำงานของพวกเขาให้ดีที่สุดและมีประสิทธิภาพสูงสุด”
“ดี” ขจรพยักหน้า
“ถ้าท่านติดตามการทำงานของเรามาบ้าง ท่านคงทราบเรื่องของท่านกัมปนาท”
“อืม…ก็ได้ยินตามข่าว ผมคงรู้เรื่องนี้น้อยกว่าคุณแน่ เพราะคนที่เกษียณอายุราชการมาหลายปีอย่างผมจะไปรู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องนี้ได้ยังไง”
โกหก…เขาหลบสายตา
“อย่าบอกนะว่าสารวัตรมาหาผมเพราะเรื่องนี้ เพราะดูเหมือนผมจะช่วยอะไรสารวัตรไม่ได้”
หัสยุทธยิ้มน้อยๆ “เปล่าครับ ผมแค่มาเยี่ยมท่านจริงๆ จู่ๆ ก็คิดถึงช่วงเวลาที่ตัวเองได้ทุนไปเรียนต่อเมืองนอก แล้วก็อดคิดถึงความกรุณาของท่านไม่ได้”
“ความกรุณาอะไร…นักเรียนทุนของกรมตำรวจต่างก็ได้รับทุนเพราะความสามารถของตัวเองทั้งนั้น ไม่ใช่ความกรุณาของผมคนเดียวสักหน่อย”
“แต่ผมก็ต้องขอบคุณท่านครับ เพราะท่านทำให้ผมกลับมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าหน่วย NIC ซึ่งเป็นหน่วยงานใหม่เอี่ยมที่ใครๆ ต่างก็หมายปองทั้งนั้น”
แววตาอันฝ้าฟางเล็กน้อยนั้นดูเหม่อลอยคล้ายกับกำลังรำลึกถึงความหลังที่เกิดขึ้นมานานแล้ว คำพูดของแขกที่มาเยือนช่วยกระตุ้นความทรงจำในช่วงเวลานั้นให้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง
“การลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดก็คือการลงทุนกับคน ผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานไหนๆ ก็ต้องคิดเหมือนกันทั้งนั้น”
“จริงครับ”
“สารวัตร…มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ ผมเดาความในใจของคุณไม่ออกหรอกนะ”
เขาพูดความในใจทั้งหมดไม่ได้แน่ แต่หัสยุทธก็เตรียมสิ่งที่จะถามขจรมาแล้ว “สำนักงานตำรวจแห่งชาติของเรามีอิสระในการบริหารจัดการงานภายในทั้งหมดไหมครับ”
ขจรยิ้มเย็น “นี่เราจะคุยเรื่องการเมืองภายในกันสินะ เฮ้อ…ก็ได้ อย่างน้อยผมก็จะได้รู้ว่าคุณอยากรู้เรื่องอะไร”
ชายชราขยับรถวีลแชร์ไฟฟ้าของตนไปที่ตู้โชว์เหรียญตราและถ้วยรางวัล รวมถึงใบปริญญาบัตรของลูกๆ ซึ่งมีรูปถ่ายวางอยู่ใกล้กัน หัสยุทธมองความเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติของเขาไปด้วย ดูเหมือนขจรจะคุ้นเคยกับพาหนะของเขาเป็นอย่างดี เขาคงใช้มันมาหลายปีแล้ว
“สมัยผมยังหนุ่มแน่นกรมตำรวจอยู่ในความปกครองของกระทรวงมหาดไทย แล้วย้ายมาขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีเมื่อเปลี่ยนมาเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในตอนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงมากมายในระดับบริหาร คุณเป็นคนรุ่นใหม่ก็คงพอจะรู้ว่าคนรุ่นเก่าบางคนไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง” ขจรหันมาสบตากับหัสยุทธ “มีทั้งคนพอใจและคนที่ไม่พอใจ แต่เราก็ต้องปรับตัว”
“NIC ก็เป็นหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงนั้นรึเปล่าครับ”
ขจรยอมรับ เขาพยักหน้าน้อยๆ “มันก็ยังมีอีกหลายหน่วยงาน เราต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ก่อนหน้านั้นมีความวุ่นวายทางการเมืองมากมายหลายระดับ ดังนั้นตำรวจจึงต้องเตรียมความพร้อมสำหรับการรับมือกับความวุ่นวายที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต งบประมาณจึงถูกตั้งให้มุ่งไปเพื่อเตรียมเจ้าหน้าที่และเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ให้พร้อมเสมอสำหรับการปฏิบัติการ”