LOVE
ทดลองอ่าน เจรจาต่อ-ตาย ตอน อัตตา บทที่ 1-บทที่ 2
“การเมืองนี่เกี่ยวข้องกับตำรวจด้วยงั้นเหรอครับ”
“เราตัดการเมืองออกไปจากชีวิตได้ด้วยเหรอสารวัตร ตำรวจมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง หากมีความวุ่นวายไม่ว่าจะตรงไหน เราก็ต้องเข้าไปดูแลจัดการทั้งนั้น” ขจรแค่นหัวเราะ “ว่าแต่ที่มาถามผมเรื่องนี้เพราะมีความคับข้องใจอะไรในการทำงานรึเปล่า หรือถูกใครบีบมา”
คนฉลาดมักถามคำถามที่ฉลาด หัสยุทธยอมทำตัวเป็นเด็กที่ต้องการคำปรึกษาจากผู้ใหญ่ใจดีสักคน
“ครับ ผมรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังไม่พอใจการทำงานของผมอยู่”
“เกิดไปขวางทางปืนใครเขาเข้าล่ะ”
“นั่นสิครับ กำลังหาตัวอยู่เหมือนกัน”
“อืม…” ขจรควบคุมรถวีลแชร์เข้ามาหาหัสยุทธใกล้ๆ “สมัยที่ผมเป็น ผบ.ตร. ก็ต้องบริหารจัดการคนหลายกลุ่ม รู้ทั้งรู้ว่ามีทั้งคนที่ชอบเราและคนที่ไม่ชอบเรา แต่ทำยังไงได้ การทำงานมันต้องเดินหน้าต่อ ขอให้สารวัตรมีหลักการที่ดีพอ ผมคิดว่าสารวัตรก็จะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ไปได้”
“ถ้าเรื่องทำงานผมไม่เคยกลัวครับ กลัวแต่เรื่องถูกแทงข้างหลัง” หัสยุทธพูดเสียงเรียบแล้วโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อจะปรับเป็นเสียงกระซิบทั้งที่ไม่จำเป็น “NIC ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อประสิทธิภาพในการทำงานของตำรวจ ซึ่งในขณะนี้ทุกอย่างที่หน่วยของเรามีล้วนเป็นประโยชน์ต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แล้วถ้าวันหนึ่งเกิดมีใครบางคนอยากจะใช้ประโยชน์จากมันเพื่อประโยชน์ของตัวเองขึ้นมาบ้าง ผมควรจะทำยังไงดีครับ”
ชายสองวัยสบตากันนิ่งในระยะใกล้ จากนั้นหัสยุทธก็เปลี่ยนไปนั่งหลังตรงอีกครั้ง มีความคิดหลายสิ่งวิ่งวนอยู่ในหัวของขจร หนึ่งในสิ่งนั้นคือการประเมินผู้เป็นแขก
“มีใครติดต่อสารวัตรมางั้นเหรอ”
“เปล่าครับ…แล้วถ้าไม่มี NIC ไม่มีผม ข้อมูลทั้งหมดที่ NIC มีจะตกอยู่ในมือใครครับ”
“ตามระเบียบคนที่มีอำนาจในการเปิดข้อมูลทุกอย่างก็จะเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่ก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากท่านนายกรัฐมนตรีด้วย สารวัตรรู้อยู่แล้วนี่”
“ครับ ตามระเบียบมันเป็นแบบนั้น”
“การทำงานที่เป็นอิสระของ NIC ก็มีอันตรายงั้นเหรอ เป็นไปได้ยังไง”
หัสยุทธแค่นยิ้ม “ตอนนี้ยังไม่มีอะไรน่ากลัว ผมน่าจะจัดการทุกอย่างได้ เพียงแต่มีความสงสัยบางอย่างที่ผมยังไม่แน่ใจเท่านั้นเอง”
“อืม…แล้วคิดว่าผมช่วยได้งั้นเหรอ”
หัสยุทธกลั้นหายใจก่อนพูด “เวลาที่ผ่านมา NIC ได้รับการสนับสนุนในเรื่องงบประมาณแตกต่างกันออกไปในแต่ละสมัยของการบริหารจัดการภายใต้ ผบ.ตร. แต่ละคน จนทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า NIC ไม่ได้เป็นที่ต้องการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเท่าไรนัก บางครั้งเราถูกจับตาดูการทำงานจนแทบกระดิกตัวไม่ได้ แต่ในบางคราวเรากลับได้รับอะไรใหม่ๆ จนเจ้าหน้าที่ในหน่วยอื่นเขม่น การจัดเก็บข้อมูลของเราก็เป็นอิสระกับฐานข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เราเข้าไปดูข้อมูลรวมได้ แต่คนอื่นไม่สามารถเข้ามาดูข้อมูลของ NIC ได้หากไม่มีการขออนุญาต ตรงจุดนี้อาจทำให้หน่วยงานอื่นมองเราเป็นคนนอกที่มีอภิสิทธิ์มากกว่า…”
“นี่สารวัตรกลัวเป็นแกะดำในสำนักงานตำรวจแห่งชาติงั้นเหรอ” ขจรหัวเราะหึ “ทำไมเพิ่งมากลัวตอนนี้”
“เปล่าครับ ไม่ได้กลัว แต่เพิ่งตระหนักหลังจากที่เราทำงานมาได้พักใหญ่และมีข้อมูลในมือมากพอ…” จู่ๆ เขาก็หยุดพูด
“พอ…พอที่จะอะไร”
“พอที่จะรู้ว่าเรามีทั้งคนที่รักและคนที่เกลียดครับ”
ขจรยิ้มมุมปาก “เข้าใจตอบ…เฮ้อ โลกมันก็เป็นอย่างนี้ แต่สารวัตรรู้ไว้เถอะว่าผมตั้งใจสร้างหน่วยงานของคุณมาด้วยเจตนาอันดี และผลงานที่ผ่านมาของพวกคุณก็ทำให้ผมภูมิใจมาก หวังว่าคุณจะทำในสิ่งที่ถูกต้องอย่างนี้ต่อไป”
“ครับท่าน”
“ผมดีใจนะที่คุณคิดถึงผม หวังว่าสักวันหนึ่งเราคงจะได้ทำงานร่วมกัน” แล้วเขาก็แค่นหัวเราะ “ผมก็พูดตลกอะไรเนี่ย คนแก่จะเข้าโลงแล้วจะไปช่วยอะไรหน่วย NIC ได้”
“ไม่แน่นะครับ ท่านอาจจะช่วยผมได้จริงๆ” หัสยุทธยิ้ม “เอาเป็นว่าวันนี้ผมขอรบกวนท่านแค่นี้ดีกว่า ทานผลไม้ให้อร่อยนะครับ และขอให้ท่านสุขภาพแข็งแรง ผมขอตัวกลับก่อนล่ะครับ ขอบพระคุณท่านสำหรับวันนี้และทุกๆ อย่างที่ผ่านมา”
หัสยุทธลุกขึ้นยืนแล้วทำความเคารพ ขจรยกมือวันทยหัตถ์ตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“ยินดีและขอบใจสารวัตร หากมีอะไรลำบากใจก็มาปรึกษาผมได้ แม้จะไม่มีอำนาจแล้วแต่ก็ยังพอมีวาสนาให้คนฟังคำขอร้องได้บ้าง หากช่วยได้ผมก็ยินดี”
“ขอบพระคุณครับท่าน ผมลาล่ะครับ”
ขจรทำท่าจะขยับรถวีลแชร์ของตนให้เคลื่อนตามแขก แต่หัสยุทธห้ามไว้ เขาบอกว่าเขาสามารถเดินออกไปตามลำพังได้ และเมื่อนายตำรวจร่างใหญ่เดินพ้นประตูหน้าออกไป ขจรก็บังคับให้รถวีลแชร์มาหยุดที่กระจกบานใหญ่ที่สามารถมองทะลุไปยังลานหน้าบ้าน…บริเวณที่รถของแขกจอดอยู่ ชายสองคนที่ออกไปต้อนรับหัสยุทธเมื่อครู่เดินกลับเข้ามาในห้องรับแขกอีกครั้ง พวกเขามายืนอยู่ทางด้านหลังของรถวีลแชร์และจับตามองรถยนต์ของแขกที่กำลังเคลื่อนออกไปจากลานจอดพร้อมกัน
“คงพยายามจะปะติดปะต่อเรื่องราวเพื่อหาตัวตนของฝั่งตรงข้ามกัมปนาทอยู่ แต่ท่าทางก็ไม่ได้รู้อะไรมากนักหรอก” ขจรพูดขึ้นมาลอยๆ
“แล้วเราต้องทำยังไงครับ” บุรุษที่ยืนอยู่ทางด้านหลังหนึ่งในนั้นพูดขึ้น
“จับตาดูอย่างใกล้ชิด หากมีความเคลื่อนไหวจากฝั่งอื่นให้ยื่นข้อเสนอให้ NIC ทันที ถ้าได้ NIC มาอยู่กับเราจะเป็นผลดีมากกว่าผลเสีย”
“ครับ”
แล้วชายชราก็ใช้มือทั้งสองข้างพยุงตัวขึ้นจากเก้าอี้ ผ้าซึ่งคลุมหน้าตักไว้เมื่อครู่หล่นลงไปกองตรงที่วางเท้า เขาใช้เวลาลุกขึ้นยืดตัวไม่นานก็สามารถยืนตัวตรงได้ ไม่เหมือนกับคนที่ต้องนั่งรถวีลแชร์อยู่ตลอดเวลาเลย
“สองฝ่ายนั้นตีกันก็ดี เป็นประโยชน์กับเรามากกว่าที่คิด” เขาเอามือไพล่หลังแล้วสูดลมหายใจลึกก่อนพูดต่อ “เฮ้อ…ยิ่งนานวันอะไรๆ ก็ดูเหมือนจะควบคุมได้ยาก แต่เรามีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อย ยังไงก็วางมือไม่ได้หรอกนะ”
“ครับท่าน”
การขึ้นมามีอำนาจนั้นอาจยาก แต่การยอมละทิ้งซึ่งอำนาจนั้นยากยิ่งกว่า…