LOVE
ทดลองอ่าน เจรจาต่อ-ตาย ตอน อัตตา บทที่ 1-บทที่ 2
ในห้องประชุมขนาดห้าคูณห้าตารางเมตร เพดานสูง ถูกก่อผนังด้วยอิฐสีแดงทั้งสี่ด้าน และมีประตูเหล็กเป็นทางเข้าออกเพียงทางเดียวนั้นตั้งอยู่ชั้นใต้ดินของโกดังแห่งหนึ่ง มันเป็นสถานที่ที่ไว้ต้อนรับกลุ่มคนพิเศษในวาระสำคัญอย่างเช่นวันนี้ ชายที่พ้นวัยเกษียณไปแล้วสามคนนั่งกระจายกันอยู่สองฟากฝั่งของโต๊ะประชุมสีขาวซึ่งตั้งอยู่กลางห้อง ทุกคนต่างเก็บสีหน้าเป็นกังวลได้อย่างมิดชิด หรือไม่ก็อาจจะไม่ได้เป็นกังวลใดๆ เลยเพราะพวกเขาต่างก็ไม่ได้เป็นผู้ที่ต้องลงมือปฏิบัติงานด้วยตัวเอง
“…แล้วลูกสาวคนโตของท่านล่ะ ตอนนี้ทำอะไรอยู่ครับ”
คนถูกถามหัวเราะในลำคอ “โน่น อยู่อเมริกา ขอเงินไปทำธุรกิจร่วมกันกับเพื่อน เขาเป็นคนมีหัวด้านนี้นะ ผมเลยปล่อยไป อยากทำอะไรก็ทำ เรามันแก่แล้วตามไม่ค่อยทัน”
“ทำธุรกิจที่โน่นก็ยุ่งยากไม่เบาเลยนะครับ”
“อื้ม แต่เขามีเพื่อนเยอะ ตัวเขาเองไม่ต้องออกหน้าอะไร แค่เป็นหุ้นส่วนแล้วรอรับผลประโยชน์เท่านั้น แล้วของคุณล่ะ…”
“ของผมยังเล็กอยู่ครับ สนใจแต่เรื่องรถนั่นแหละ นี่ก็หมดเงินไปเยอะแต่เห็นเขาสนุก เราเป็นพ่อก็ได้แต่ตามใจ”
บุคคลที่สามซึ่งอยู่ในสถานที่นั้นด้วยก็ร่วมหัวเราะไปพร้อมกัน จากนั้นเขาก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบแต่ดูจากแววตาแล้วน่าจะเป็นคนมีความเมตตาสูง
“มีครอบครัวก็สนุกครึกครื้นดีนะ”
“โธ่ท่าน มันมีไปแล้วเราก็ต้องสนุกกับมัน ฮะฮะฮ่า ผมว่าท่านสิน่าอิจฉาที่สุด อยู่ตัวคนเดียวอยากทำอะไรก็ทำ”
ศิวากร ผู้อาวุโสที่สุดยิ้มมุมปาก “ชีวิตผมยกให้ประเทศชาติหมดแล้ว เรื่องส่วนตัวไม่มีอะไรต้องห่วง ให้ตายวันนี้ยังได้เลย”
“โอ๊ย ขอเถอะครับท่าน อย่าพูดแบบนั้นเลย ผมใจคอไม่ค่อยดี ขาดท่านไปสักคนงานของเราที่ร่วมทำกันมาหลายสิบปีมันจะไม่สำเร็จน่ะสิครับ อย่าเพิ่งทิ้งพวกเราไป ถือซะว่าเห็นแก่ประเทศชาติเถอะ อยู่กับเรานานๆ นี่ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้ท่านอยู่ถึงร้อยห้าสิบปี รอดูประเทศของเราเจริญรุ่งเรืองสู่ยุคแผ่นดินที่ปูลาดด้วยทองคำซะก่อนค่อยจากไปอย่างสงบ”
คนทั้งสามยิ้มกว้างแล้วหัวเราะให้กันอย่างมีความสุข แต่ในที่สุดก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงประตูที่ถูกเปิดออก ชายร่างบึกบึนวัยประมาณสี่สิบปีใบหน้าเคร่งขรึมที่ปล่อยให้ศีรษะมีผมสีขาวแทรกประปรายอยู่นั้นกำลังก้าวเข้ามาในห้องแล้วทำความเคารพบุคคลทั้งสามด้วยความยำเกรงและให้เกียรติสูงสุด แม้ว่าตัวเขาเองจะเป็นเจ้าของสถานที่ประชุมแห่งนี้ก็ตาม
“ขอประทานโทษที่ทำให้ต้องรอครับท่าน ผมพยายามรวบรวมข้อมูลของหน่วยกับหัวหน้านะ…”
“คนนั้นสินะ” ศิวากรทักขึ้นก่อนที่จะมีการเอ่ยชื่อเป้าหมาย
“ครับ”
จากนั้นผู้เป็นเจ้าของสถานที่ก็เริ่มการบรรยายของเขาให้ชายสูงวัยอีกสามคนฟัง เขาพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ นัยน์ตาดำใหญ่ไม่แสดงความรู้สึกอะไรมากนัก มีเพียงบางครั้งที่สันกรามแข็งแรงจะกระตุกคล้ายกับคนที่ชอบขบกรามเป็นนิจ รอยแผลเป็นตรงหัวคิ้วยิ่งทำให้เครื่องหน้าดูดุดันมากขึ้น ทุกคำที่เขาเปล่งออกมาได้รับความสนใจจากผู้ฟังเป็นอย่างดี คนที่ควบคุมสถานการณ์กลับกลายเป็นคนที่เคยมียศน้อยที่สุดในห้อง
เมื่อการรายงานจบลง ศิวากรก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่มีอำนาจ
“คุณให้ความสำคัญกับเขามากเกินไปรึเปล่า…อย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับงานใหญ่ เพราะมันอาจจะทำให้คุณจัดลำดับความสำคัญผิด”
“แต่ท่านครับ คนคนนี้มีข้อมูลอยู่ในมือมากเกินไป ผมเกรงว่า…”
“เดี๋ยวนะ…” อีกคนยกมือขึ้นห้าม “มันเป็นลูกน้องของใคร ใครแต่งตั้งหน่วยงานมันขึ้นมา”
“ตอนนี้ NIC ขึ้นตรงต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติครับ แต่ท่านขจร อดีต ผบ.ตร. เป็นคนตั้งหน่วยงานนี้ขึ้นมา”
“เป็นคนของพุฒิสรรค์เหรอ”
คนถูกถามส่ายหน้าทันที “ถ้าหากเราสงสัยว่าเขาเป็นคนของผู้บัญชาการคนปัจจุบันด้วย ผมคิดว่าเราด่วนสรุปเกินไป”
“อืม…ขจร ไอ้เฒ่าสารพัดพิษ” ศิวากรกัดฟันพูด “มันมีแผนอะไรเกี่ยวกับกรมตำรวจอีกรึเปล่า นอกจากจะยุ่งเรื่องการเมือง”
ทุกคนในห้องเงียบ เพราะยังไม่มีใครมีข้อมูลของขจรที่มากไปกว่าการรับรู้ว่าอดีต ผบ.ตร. คนนี้เป็นคนก่อตั้งหน่วย NIC และตอนนี้มีแผนที่จะลงเล่นการเมืองโดยการสนับสนุนให้ลูกชายขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค เมื่อไม่มีคำตอบ ศิวากรจึงวกมาถามเรื่องหัสยุทธอีกครั้ง
“แล้วตอนนี้คุณคิดว่าเขาทำงานให้ใคร พูดชื่อมาสักคนซิ ในกรมตำรวจไม่มีใครที่ผมไม่รู้จัก”
แม้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการจากกรมตำรวจแห่งชาติไปนานแล้ว แต่ดูเหมือนคนพูดยังติดอยู่กับคืนวันเก่าๆ ที่ตนเคยเป็นใหญ่
เจ้าของสถานที่มีสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อยก่อนตอบ “ผมคิดว่าเขาเป็นพวกอิสระ”
“ล้อเล่นน่านรบดี…ไม่มีคำว่าอิสระในกรมตำรวจ มันต้องเป็นเบี้ยของใครสักคน ถ้าหน่วยของมันถูกตั้งขึ้นโดยใคร คนคนนั้นก็ต้องมีอิทธิพลกับมัน หน้าที่ของคุณคือหาหลักฐานให้เจอว่าตอนนี้มันทำงานให้ใครกันแน่”
“ครับ”
ไม่มีการโต้เถียงกับศิวากร แต่นรบดียังมองไม่ออกว่าหัสยุทธทำงานให้ใคร เจ้าของสถานที่ลากเก้าอี้มานั่งเพื่อรอฟังสิ่งที่ผู้เป็นประธานในที่ประชุมพูด ส่วนเขามีหน้าที่ฟังแล้วรอรับคำสั่งจากผู้อาวุโสทั้งสาม
“เก็บ NIC ไว้ก่อน กลับมาพูดเรื่องของเราดีกว่า แน่ใจนะว่างานเลี้ยงครั้งนี้จะเป็นการระดมทุนของพรรคการเมืองอย่างเดียว”
“บังหน้าอยู่แล้วครับท่าน นี่มันต้องการฟอกเงินชัดๆ” หนึ่งในสมาชิกกล่าว “ผมเชื่อว่ามันมีเงินสกปรกอยู่เยอะ”
“ข่าววงในที่พอจะเชื่อถือได้บอกว่ามีลูกน้องคนสนิทของท่านขจรลงมาจัดการเรื่องนี้เอง เห็นว่าจะขายโต๊ะกินเลี้ยงเป็นหลักล้านเพื่อนำเงินมาสนับสนุนพรรคการเมืองที่ท่านขจรอยากให้ลูกชายขึ้นเป็นหัวหน้า งานนี้คงต้องการแสดงพาวเวอร์ให้คนในพรรคเห็นว่าลูกชายของตัวสามารถหาเงินสนับสนุนพรรคได้มากกว่าคนอื่น”
ศิวากรนิ่งไปนาน ทุกคนรู้ดีว่าเขากำลังใช้ความคิด แล้วในที่สุดเขาก็ออกคำสั่ง
“ต้องตามดูอย่างใกล้ชิด แม้กลุ่มนั้นทำท่าว่าจะลงเล่นการเมืองแต่เขาก็ยังมีอำนาจในกรมตำรวจอยู่”
นั่นเป็นคำสั่งที่นรบดีไม่มีสิทธิ์จะเพิกเฉย