LOVE
ทดลองอ่าน เจรจาต่อ-ตาย ตอน อัตตา บทที่ 1-บทที่ 2
หลังจากตักบาตรหน้าหมู่บ้านซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันเสร็จแล้ว หญิงชราก็ออกมายืนเอามือไพล่หลังแล้วเงยหน้าขึ้นมองทาวน์เฮ้าส์ของเธออยู่นานจนเพื่อนบ้านข้างเคียงที่ลอบมองผ่านม่านหน้าต่างบ้านตนอยู่นั้นนึกสงสัย สีหน้าของละอองดาวดูสงบจนคาดเดาไม่ออกเลยว่าเธอจ้องมองบ้านของตัวเองด้วยความรู้สึกอย่างไรกันแน่ ในที่สุดเพื่อนบ้านก็เป็นฝ่ายทนไม่ไหว ต้องเดินออกจากประตูบ้านของตัวเองแล้วตะโกนถามละอองดาวผ่านรั้วซี่กรงเหล็กเตี้ยๆ นั้น
“มีอะไรเหรอพี่ดาว เห็นยืนมองอยู่นานแล้ว มีอะไรมันพังเหรอ”
“ไม่มีอะไรพังหรอก แค่ยืนมองมันเฉยๆ”
คนถามอายุน้อยกว่าเป็นสิบปีขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่ไม่อยากจะจี้ถามต่อจึงพยายามคิดหาเรื่องอื่นมาคุยแทน
“เอ่อ แล้วนี่หลานชายไม่อยู่เหรอ เห็นขับรถออกจากบ้านก่อนพระจะมาบิณฑบาตซะอีก”
“อื้ม ว่าจะไปหาแฟน”
“อ้าว นี่สารวัตรมีแฟนแล้วเหรอ ดีจัง ต่อไปพี่ดาวจะได้ไม่เหงาอีกแล้วนะ”
ละอองดาวยิ้ม แต่ก็ไม่ได้เป็นการยิ้มทั้งปากทั้งตา มันเป็นยิ้มเพื่อรักษามารยาทเท่านั้นและดูเหมือนคนฟังยังไม่ทันได้สังเกตอากัปกิริยานั้น
“แล้วเด็กสาวคนสวยๆ ที่ฉันเคยเห็นนั่นเป็นใครล่ะ หลานของพี่ดาวอีกคนเหรอ”
“อ๋อ ก้อย…ใช่ หลานสาวอีกคน” ละอองดาวถอนใจอย่างไม่มีสาเหตุ จากนั้นก็ขยับเข้าไปใกล้รั้วบ้านยิ่งขึ้นก่อนที่จะเอ่ยปากถามเพื่อนบ้านเบาๆ “นี่พอจะรู้จักนายหน้าขายบ้านบ้างมั้ย”
“นายหน้าขายบ้านเหรอ พี่จะขายบ้านที่ไหน”
“ก็หลังนี้แหละ”
“อ้าว ขายทำไมล่ะพี่ แล้วพี่ดาวจะไปอยู่ที่ไหน”
นางยิ้มน้อยๆ “นังเดือนเสี้ยวมันเบื่อบ้านหลังนี้แล้ว เลยว่าจะไปหาหลังใหม่ให้มันอยู่”
“ฮู้…”
คนฟังร้องเสียงหลงแต่ท่าทางไม่เชื่อเหตุผลที่ได้ยินนั้น ไม่รู้ว่าละอองดาวคิดอะไรอยู่กันแน่…
เสียงลมหายใจหอบเหนื่อยทำให้เช้าวันหยุดของสองหนุ่มสาวเต็มไปด้วยความร้อนแรง เม็ดเหงื่อที่ชุ่มกายบอกให้รู้ว่าพวกเขาใช้เวลากับกิจกรรมนี้มาร่วมชั่วโมงแล้ว…
“พอเถอะค่ะคุณ…ฉันไม่ไหวแล้ว”
“ยัง…อีกนิดเดียว อดทนหน่อย”
“ทะ…ทำไมเราต้องทำอย่างนี้ในวันหยุดด้วย ระ…เราควรจะได้นอนตื่นสายสิถึงจะถูก!”
บุษบงกชเกรี้ยวกราด แต่ก็ไม่สามารถหยุดฝีเท้าที่กำลังวิ่งอยู่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นเขาก็คงทิ้งห่างเธอไปไกลอีก กว่าจะเร่งฝีเท้าให้ทันเขาก็เกือบจะแย่อย่างที่เห็น หัสยุทธหันมายิ้มยั่ว
“อ้าว ชอบแบบนั้นก็ไม่บอก จะได้อยู่บนเตียงด้วยกันทั้งวันทั้งคืนเลย”
“ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น!” อะดรีนาลินที่หลั่งออกมาหลังจากการออกกำลังกายอาจจะมีมากเกินจนไปกระตุ้นต่อมเดือดของคุณหมอเข้า “คุณไม่ได้หลอกฉันใช่ไหม ไอ้โปรแกรมนี้ของคุณเนี่ย”
หัสยุทธหัวเราะ ดูเหมือนเขาจะผ่อนฝีเท้าลงเพื่อคนที่วิ่งอยู่ข้างๆ
“คุณเป็นหมอ คุณก็ต้องรู้สิว่าผมไม่ได้หลอก เราสองคนอายุไม่ใช่น้อย เพราะฉะนั้นถ้าอยากมีลูกที่แข็งแรงก็จงออกกำลังกายซะ”
“เรื่องนั้นฉันรู้ แต่เราจำเป็นต้องหักโหมตั้งแต่ยังไม่ได้แต่งงานกันเลยเหรอ”
“ก็ถ้าไม่หักโหมเรื่องนี้ ผมก็จะไปโฟกัสเรื่องอื่นซึ่งมันจะไม่ยุติธรรมกับคุณนะ”
“โอ๊ย ทำไมเราต้องวกกลับมาเรื่องนั้นอีกเนี่ย”
บ่นแล้วเธอก็หยุดวิ่ง มันทำให้หัสยุทธต้องพลอยหยุดไปด้วย เขาเห็นสภาพของคนขี้บ่นแล้วอดยิ้มและหัวเราะขำไม่ได้
“เราไม่ได้กลับ…เรากำลังพูดถึงเรื่องนั้นเลยแหละ อย่าเพิ่งหยุดทันที เดี๋ยวบาดเจ็บ เดินก่อน ยกแขนขึ้นสูง หายใจเข้าลึกๆ ด้วย”
แม้จะหน้ามุ่ยแต่ก็ยอมทำตามคำสั่งโดยดี พวกเขาเดินเคียงคู่กันไปช้าๆ ความจริงรอบข้างมีบรรยากาศของยามเช้าในเมืองหลวงที่ดีมาก มันเป็นช่วงเวลาที่ดูสงบ ร่มเย็น และสดชื่นมากที่สุดของวัน ที่นี่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ระหว่างบ้านของหัสยุทธกับคอนโดมิเนียมของบุษบงกช เขาสามารถขับรถไปรับเธอได้ภายในสิบห้านาทีในตอนเช้ามืดของวันเสาร์ เสียเวลาปลุกคนขี้เซาลุกขึ้นจากเตียงนิดหน่อยโดยการขู่ว่าถ้าไม่ตื่นเขาจะจัดการให้ตื่นด้วยวิธีของเขา เท่านั้นก็ทำให้คุณหมอลุกขึ้นมาออกกำลังกายในสวนสาธารณะยามเช้าได้
แสงแดดเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว ผู้คนที่มาออกกำลังกายเหมือนกับสารวัตรและคุณหมอดูหนาตาขึ้นมากกว่าชั่วโมงที่ผ่านมา เสียงนกร้องผสานกับเสียงน้ำพุกลางสระใหญ่ที่เจ้าหน้าที่ของสวนเปิดต้อนรับผู้คนไว้ทำให้จิตใจสงบได้ไม่ยาก เด็กตัวเล็กๆ กำลังโปรยข้าวตอกให้นกกระจอกได้จิกกิน คนขี่จักรยานพยายามบังคับให้จักรยานอยู่ในลู่ของตน กลุ่มผู้สูงอายุรำไท้เก๊กยึดสนามหญ้าริมสระไว้เป็นที่ยืดเส้นยืดสายของพวกตน ทุกคนกำลังมีความสุขกับกิจกรรมและวันหยุดของพวกเขา ยกเว้นคนที่กำลังเดินหน้างอ ผมหางม้ากวัดแกว่งไปมาตรงข้างกายหัสยุทธนี่แหละที่ทำท่าว่าจะโจมตีเขาอยู่ตลอดเวลา
“จะมีลูกหรือให้ไปสมัครเข้าหน่วยรบพิเศษเนี่ย ทุกเย็นวันพุธต้องเข้ายิมเพื่อไปหัดต่อยมวยกับฝึกศิลปะป้องกันตัว เช้าวันเสาร์กับวันอาทิตย์ยังต้องมาวิ่งอีก”
“แล้วไม่พูดถึงวันที่ได้ไปกินของอร่อยๆ อีกสามสี่วันต่อสัปดาห์บ้างล่ะ”
คนสวยหันมาค้อนขวับ
“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก็ได้ ผมให้คุณเลือกเลยว่าเช้านี้จะกินอะไร”
“ปาท่องโก๋กับโจ๊กชามโตๆ เลย”
“โอเค เลี้ยงง่ายดี แค่มีของกินก็อารมณ์ดีแล้ว”
มีบางอย่างแปลกไปหลังจากความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ก้าวไปอีกขั้นหนึ่งซึ่งบุษบงกชไม่สามารถให้คำจำกัดความการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ เธอรับรู้ได้ถึงความห่วงใยซึ่งบางครั้งอาจจะล่วงไปถึงขั้นเป็นกังวล มีความเครียดบางอย่างเกิดขึ้นกับหัสยุทธแต่เธอก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากถามเขาอย่างไร เพราะยังมองไม่เห็นสาเหตุหรือปัญหาใดๆ เลย แต่เธอเชื่อมั่นและไว้ใจในตัวเขาว่าทุกอย่างที่เขาทำนั้นย่อมมีเหตุผลและเป็นประโยชน์ต่อตัวเธอเองด้วย หากเขาพร้อมที่จะแบ่งปันความกังวลนั้นให้เธอรู้ เธอก็คงรู้เข้าสักวัน