บทที่ 5
การตามหาตัวตนที่แท้จริงของ Satan กลายเป็นความลับที่ต้องทำกันอย่างรัดกุม ฉากหน้าคนของ NIC พยายามทำตัวให้เป็นปกติ แต่ความจริงแล้วกำลังเคลื่อนไหวอย่างระวังตัวทุกฝีก้าว เพราะคำพูดของหัวหน้าหน่วยอย่างหัสยุทธนั่นเองที่ทำให้ทุกคนต้องตื่นตัวอย่างเต็มที่ หัสยุทธได้ตั้งข้อสังเกตว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นเกี่ยวข้องกับตำรวจในหลายหน่วยงาน ดังนั้นก็มีความเป็นไปได้อย่างมากว่า Satan เป็นเครือข่ายและมีพวกพ้องมาก ขณะนี้ในความคิดของพวกเขา Satan อาจจะเป็นได้ทั้งนายตำรวจเก่าที่ลาออกจากราชการไปนานแล้ว แต่ยังมีอิทธิพลในสถาบันตำรวจอยู่ หรืออาจเป็นคนในสถาบันเองที่ยอมเป็นหุ่นเชิดของมันก็เป็นได้ ความเป็นไปได้ในตอนนี้ Satan ไม่ใช่ฝ่ายเดียวที่ถูกจับตามองจาก NIC แต่ NIC ก็อาจจะถูกจับจ้องอยู่ด้วยเหมือนกัน หากเคลื่อนไหวโฉ่งฉ่างหรือเปิดเผยมากเกินไป พวกเขาอาจจะโดนโจมตีกลับเหมือนคราวที่หัสยุทธโดนปั่นหัว
ภายในห้องทำงานของหน่วยวุฒิภาศกำลังยืนกอดอกพิงโต๊ะกระจกอยู่ สายตาของเขาจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ของปารุสก์ที่ขณะนี้มันกำลังรันข้อมูลบางอย่างอยู่อย่างขะมักเขม้น
“ทำไมพี่รู้สึกเหมือน…เรากำลังทำบ้าอะไรอยู่วะ นี่มันเป็นงานจริงๆ รึเปล่า เรากำลังต่อสู้หรือเอาตัวรอดจากอะไร แล้วทำไมเราต้องมีศัตรูด้วย ทั้งที่พวกเราก็เป็นตำรวจเหมือนกัน มีอุดมการณ์อย่างเดียวกัน”
ปลายนิ้วที่กำลังรัวบนคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์นั้นหยุดชะงักทันทีที่ได้ยินคำบ่นของรุ่นพี่ที่นับถือจบ ปารุสก์ถอยเก้าอี้ออกจากตำแหน่งของตัวเองนิดแล้วหันมามองวุฒิภาศ
“พี่ไม่เชื่อหัวหน้าของเราเหรอ”
“ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่…มันฟังดูไม่มีเหตุผลเอาซะเลย” เขาส่ายหน้า
“ตอนนี้ผมกำลังจัดการข้อมูลที่ NIC มีอยู่ใหม่ทั้งหมดตามคำสั่งของหัวหน้า”
วุฒิภาศสนใจสิ่งที่รุ่นน้องบอกทันที เขาเลิกกอดอกแล้วลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งคุยกับปารุสก์ใกล้ๆ เหมือนกลัวว่าใครจะได้ยิน ทั้งที่ในห้องก็มีพวกเขาแค่สองคนเท่านั้น
“เป็นความลับรึเปล่า”
“ก็ไม่ได้ลับอะไร มันก็เป็นสิ่งที่คนในหน่วยของเราเรียกขึ้นมาดูได้อยู่แล้ว แต่หัวหน้าอยากจะให้มีการจัดลำดับ จัดจำพวกกลุ่มงานใหม่ แต่แกก็ไม่ได้บอกเหตุผลนะว่าให้ผมทำไปทำไม แค่ให้ทำไว้เท่านั้นเอง”
“แต่ข้อมูลที่ NIC เก็บส่วนใหญ่จะเป็นรายละเอียดของอาชญากรหรือลักษณะของคดีไม่ใช่เหรอ แล้วมันจะเกี่ยวข้องกับงานส่วนกลางตรงไหน ในเมื่อหน่วยของเราทำงานเป็นอิสระจากกองอื่นๆ อยู่แล้ว”
“ผมก็ไม่ได้หมายถึงข้อมูลแบบนั้น…” เขารับเสียงอ่อย
“อะไรวะรุสก์”
วุฒิภาศขมวดคิ้วสงสัย แล้วในจังหวะนั้นเองอาสดาก็ผลักบานประตูห้องทำงานของหน่วยเข้ามาพอดี คนมาใหม่ตะโกนสั่งเสียงดังจนทำให้ความสนใจทั้งหมดพุ่งไปที่เขาแทน
“หัวหน้าขอข้อมูลการปฏิบัติงานของหน่วยเราตั้งแต่ก่อตั้งหน่วย แบ่งเป็นจำนวนครั้งที่ปฏิบัติงาน ตายกี่คน รอดกี่คน งบประมาณที่ใช้ สรุปเป็นกระดาษแผ่นเดียว มีเวลาให้สี่สิบนาที”
“เฮ้ย เรื่องอะไร ทำไมเร่งอย่างนี้ แล้วนายมาจากไหนเนี่ย ทำไมหัวหน้าไม่โทรมาสั่งเอง ทำไมสั่งมากับนาย”
ระหว่างที่วุฒิภาศหันไปยิงคำถามใส่อาสดาอยู่นั้น ปารุสก์ก็หมุนเก้าอี้ของเขาเข้าไปอยู่ในตำแหน่งเดิมเรียบร้อยแล้ว และตอนนี้เขาก็เริ่มทำงานของตัวเองบนหน้าจออีกครั้ง
“ผมเจอหัวหน้าตรงหน้าตึกก่อนที่เขาจะขึ้นไปประชุม แล้วก็เดินคุยกันมาเรื่อยๆ จนได้คำสั่งนี่แหละ”
อาสดาเดินเข้ามาหยุดยืนใกล้วุฒิภาศแล้วคนทั้งคู่ก็จ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ของปารุสก์ด้วยกัน หลังจากนิ่งไปไม่กี่อึดใจอาสดาก็ถามขึ้น
“พี่รู้สึกเหมือนมันมีอะไรเดือดอยู่ข้างใต้มั้ย”
“อะไร…หมายถึงอะไร”
“บางอย่าง…ผมก็ไม่รู้โว้ย แต่มันต้องมีอะไรแหละ”
“อื้ม…” วุฒิภาศยอมรับ
“เขาจะยุบหน่วยเรามั้ง”
คนที่ตอบคำถามนั้นให้กลับเป็นปารุสก์ และมันทำให้คนฟังถึงกับสะดุ้ง
“เฮ้ย…” อาสดาร้องเสียงหลง “ถึงเราจะคิดว่า Satan มันเป็นศัตรูกับเรา แต่มันจะมีอำนาจมากขนาดนั้นเลยเหรอ ถ้ามันมีอำนาจขนาดนั้นจริง มันล่อเราออกไปฆ่าไม่ง่ายกว่าเหรอ หน่วยพิเศษแบบ NIC ไม่ใช่จะตั้งหรือยุบได้ง่ายๆ นะ”
“ผมก็พูดไปตามข้อมูลที่หัวหน้าของเราขอมา สิ่งที่ผมกำลังสรุป มันมีไว้เพื่อประเมินประสิทธิภาพการทำงานของพวกเราชัดๆ”
“เออ รุสก์มันก็พูดจามีเหตุผล” วุฒิภาศเห็นด้วย
“พวกเรามาถึงจุดนี้ได้ยังไงพี่” อาสดาถามเสียงแผ่ว “หน้าที่การงานของพวกเรามันควรเป็นความภาคภูมิใจ ไม่ใช่ความหวาดระแวงแบบนี้สิ”
“อย่าเพิ่งตีโพยตีพายไปน่า อย่างน้อยหัวเรือใหญ่ของเราก็ยังมีความยุติธรรมอยู่ ไม่อย่างนั้นคงไม่จัดการคดีของท่านกัมปนาทอย่างนั้นหรอก ถ้าเราไม่ได้ทำอะไรผิด เราก็ควรจะเชื่อมั่นว่าระบบจะคุ้มครองเรา”
แม้จะพูดออกไปอย่างนั้น แต่วุฒิภาศเองก็ยังลอบถอนหายใจ…