ติ้งเป่ยโหวหัวเราะเบาๆ ทันใดนั้นท่ามกลางพายุหิมะข้างนอกก็มีเงาร่างวูบผ่าน คนผู้หนึ่งเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว เสื้อคลุมกันลมสีเทาเต็มไปด้วยละอองหิมะขาว พอร่างกายนั้นยืนนิ่งอย่างมั่นคง หิมะบนบ่าจึงร่วงหล่นลงพื้น เป็นคนหนุ่มที่มีรูปโฉมงามสง่าโดดเด่น
อวิ๋นจ้าวเห็นหน้าเขาก็ตกตะลึง เขามาได้อย่างไร
เขาต้องไม่มีทางรู้แน่ว่านางจะมา เช่นนั้นก็หมายความว่าเขาตั้งใจจะมาที่นี่อยู่แล้ว เพียงแต่เป็นการพบหน้าโดยบังเอิญ?
แววตาของอวิ๋นจ้าววูบไหว เฮ่อ ลู่อู๋เซิง…
ลู่อู๋เซิงประสานมือคารวะโดยที่สายตาไม่เหลือบมองมาที่นาง กระนั้นร่างของเขาหันเอียงมาอยู่เบื้องหน้านาง บดบังแววตาเปี่ยมความเคียดแค้นของติ้งเป่ยโหวได้พอดิบพอดี “ผู้น้อยคารวะติ้งเป่ยโหว”
ติ้งเป่ยโหวประเมินกิริยาท่าทางเขาอยู่ครู่หนึ่ง “ที่แท้เป็นใต้เท้าลู่นี่เอง เจ้ามาที่นี่ทำไมกัน”
ลู่อู๋เซิงเอ่ยว่า “ข้าไปที่คุกจวนว่าการเจ้าเมืองมารอบหนึ่ง ได้ยินท่านลุงอวิ๋นบอกว่าอวิ๋นอวิ๋นมาที่นี่ ผู้น้อยก็เลยแวะมาดูสักหน่อย”
ติ้งเป่ยโหวชะงักไปเล็กน้อย “อวิ๋นอวิ๋น? เจ้ารู้จักนางด้วยหรือ”
ลู่อู๋เซิงพยักหน้ารับ “ไม่เพียงแค่รู้จัก แต่จะมีการเกี่ยวดองกันในปีหน้าด้วย จะว่าไปแล้วนางก็นับเป็นว่าที่ภรรยาของข้า”
อวิ๋นจ้าวเบิกตากว้าง พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเสี้ยวหน้าองอาจของเขามีความจริงจัง ลู่อู๋เซิงไม่หันมองมาที่นางเลย แต่ก็เข้าใจได้ว่าเขามาเพื่อช่วยนางและบิดาของนางด้วย
หากเขาช่วยเหลือสกุลอวิ๋นจริง ก็เท่ากับว่าสกุลลู่กับติ้งเป่ยโหวได้ผูกความแค้นต่อกันแน่นอนแล้ว เขาไม่มีทางไม่เข้าใจผลลัพธ์ของเรื่องนี้ ทว่าเขาก็ยังมาที่นี่
เมื่อครู่นางตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วว่าจะยอมรับความตาย โดยไม่ได้คิดถึงลู่อู๋เซิงเสียด้วยซ้ำ สิบปีมานี้นางเคยชินเสียแล้วกับการไม่พึ่งพาเขา ยามนี้เมื่อเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า สกัดกั้นภัยอันตรายที่พุ่งเข้ามาหานางเช่นนี้ ทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นโครมครามขึ้นมาแล้วจริงๆ
หัวใจรักใคร่ชื่นชมที่จืดจางไปนาน ในตอนนี้จึงได้หวนกลับคืนมาอีกครั้งแล้ว
ติ้งเป่ยโหวสีหน้าแปรเปลี่ยนจนแทบจะกัดฟันกรอด “ใต้เท้าลู่ เจ้าจงคิดถึงผลที่จะตามมาให้ดี วันนี้เจ้ายอมรับการแต่งงานกับนาง ก็ถือว่าล่วงเกินข้า ติ้งเป่ยโหว! แม้ว่าอำนาจของข้าจะเทียบกับพ่อเจ้าไม่ได้ แต่ก็ยังเป็นหนามแหลมคม เจ้าแน่ใจหรือว่าจะยอมล่วงเกินโหวเช่นข้าเพียงเพื่อพ่อค้าต่ำต้อยคนหนึ่ง?”
เขาแทบจะกดข่มโทสะเกรี้ยวกราดในน้ำเสียงเอาไว้ไม่ได้ กระทั่งอวิ๋นจ้าวยังสัมผัสได้เลย นางก้าวไปข้างหน้าโดยไม่รีรอ คว้าแขนเสื้อของลู่อู๋เซิงไว้แน่น ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา จ้องมองติ้งเป่ยโหวอย่างแน่วแน่
คนข้างกายเข้ามาประชิดตัว บางทีอาจเป็นเพราะนางยืนตากลมหนาวนานเกินไป ตอนนี้แม้จะยืนอยู่ใกล้กัน ลู่อู๋เซิงก็ยังไม่รู้สึกถึงไออุ่นจากร่างของนาง แต่กลับมีไอเย็นแผ่กระจายออกมา เขาเกือบจะทนไม่ไหวนึกอยากถอดเสื้อคลุมกันลมมาห่มร่างนางให้
“เรื่องการแต่งงานท่านพ่อของข้าเห็นชอบตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว เพียงแค่รอให้ปีหน้านางถึงวัยปักปิ่น เวลาจึงล่วงเลยมาจนป่านนี้” น้ำเสียงลู่อู๋เซิงเต็มไปด้วยความเกรงอกเกรงใจ แตกต่างจากติ้งเป่ยโหวโดยสิ้นเชิง “หวังว่าติ้งเป่ยโหวจะไว้หน้าท่านพ่อข้าสักครั้ง ปล่อยครอบครัวว่าที่ภรรยาของข้า นางพลาดพลั้งไปโดยมิได้มีเจตนาทำผิด ขอให้ติ้งเป่ยโหวโปรดอภัยด้วย”
ติ้งเป่ยโหวหัวเราะอย่างเย็นชา “เจ้ากำลังบีบคั้นข้าอยู่ชัดๆ” แววตาของเขาเปล่งประกายเจิดจ้า คิดทบทวนอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ตอบอย่างไม่เต็มใจยิ่งว่า “ไสหัวไป!”
“ขอบคุณท่านมาก” ลู่อู๋เซิงกุมมืออวิ๋นจ้าว เร่งพานางจากไป