อวิ๋นจ้าวที่รู้สึกตัวขึ้นมาในยามเช้าตรู่ไม่ได้ตื่นขึ้นมาเพราะถูกความเย็น เพราะในห้องของนางมีเตาผิงขนาดใหญ่ซึ่งเติมถ่านเอาไว้มากพอ ทำให้ไออุ่นดั่งฤดูใบไม้ผลิอบอวลไปทั่ว แม้นางจะนอนอยู่บนเก้าอี้หวายทั้งคืนก็ไม่รู้สึกหนาวแต่อย่างใด ทว่าพอลุกขึ้นมาแล้วช่วงเอวกับแผ่นหลังกลับปวดเมื่อยราวกับเมื่อคืนวานไปแบกก้อนหินหนักกว่าร้อยแปดสิบชั่ง* ก็ไม่ปาน
นางยืนอยู่หน้าคันฉ่อง มองดูพวกบ่าวรับใช้ช่วยแต่งตัวหวีผม ทุกสิ่งเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย นอกจากอายุที่ลดน้อยลงไปถึงสิบปีเต็ม
หลังจากนางบ้วนปากล้างหน้า แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ก็ไปคารวะท่านย่า บิดาและมารดา จากนั้นก็กินอาหารเช้าร่วมกับพวกท่าน
สกุลอวิ๋นเป็นครอบครัวคหบดี ทว่าการกินการอยู่กลับไม่หรูหราฟุ่มเฟือย ทว่าวันนี้ไม่เห็นสำรับอาหารเช้าตั้งโต๊ะ รออยู่สักครู่พวกบ่าวรับใช้จึงยกโจ๊กเข้ามาหลายชาม อวิ๋นจ้าวมองดูแวบหนึ่ง เห็นว่าในชามมีธัญญาหารจำพวกถั่วลิสง เมล็ดซิ่ง** ข้าว นางจึงขมวดคิ้วแล้วถามว่า “โจ๊กล่าปา*** หรือ เหตุใดถึงเป็นโจ๊กล่าปา”
ฮูหยินผู้เฒ่าตอบยิ้มๆ ว่า “เด็กโง่ วันนี้เป็นวันที่แปดเดือนสิบสองอย่างไรเล่า”
อวิ๋นจ้าวเข้าใจในทันที ส่วนอวิ๋นฮูหยินส่ายหน้าพลางยิ้มขบขัน “เจ้านี่นะ ขนาดวันคืนยังจำเลอะเลือนไปแล้ว เป็นเสียแบบนี้คุณชายลู่มีหรือจะกล้าแต่ง…”
“แค่ก!”
อวิ๋นฮูหยินยังกล่าวไม่ทันจบ นายท่านอวิ๋นก็ไอเสียงดังขัดจังหวะเสียก่อน ทันใดอวิ๋นฮูหยินก็นึกขึ้นได้จึงไม่กล่าวต่อไปอีก อวิ๋นจ้าวขมวดคิ้วเล็กน้อย ด้วยเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าตอนอายุสิบสี่ ในวันที่หนึ่งเดือนสิบสอง นางทะเลาะตัดขาดกับลู่อู๋เซิง กลับมาถึงบ้านก็โยนข้าวของที่เขาเคยให้มาทิ้งไปทั้งหมด ยังบอกกับบิดามารดาว่าห้ามเอ่ยชื่อเขาอีก มิฉะนั้นนางจะหนีออกจากบ้าน
เมื่อก่อนนางเป็นเด็กเอาแต่ใจ ช่างไร้เดียงสาเสียจริง อวิ๋นจ้าวใบหน้าแดงเรื่อขึ้นมา แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของมารดา
เดิมทีทั้งสองฝ่ายตกลงกันแล้วว่ารอให้นางถึงวัยปักปิ่น* ในปีหน้า เขาก็จะมาสู่ขอ ทว่าสุดท้าย…
เรื่องราวบนโลกนี้ยากจะคาดเดา
ทว่าลู่อู๋เซิงจะใช่กุญแจที่ใช้ไขปริศนาการกลับมาอดีตของนางหรือไม่นะ ถ้าหากใช่ เช่นนั้นนางคงต้องกลับไปเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้งแล้ว
“โอย…”
ฮูหยินผู้เฒ่าส่งเสียงร้องโอดครวญเบาๆ ยกมือกุมแก้มไว้ข้างหนึ่ง ความเจ็บปวดฉายชัดในดวงตา ทั้งสามคนรีบถามด้วยความร้อนใจว่านางเป็นอะไร ฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือปฏิเสธ “ไม่เป็นไร เมล็ดซิ่งต้มไม่นิ่มพอก็เลยปวดฟันน่ะสิ”
อวิ๋นฮูหยินได้ยินเช่นนั้นจึงยกชามโจ๊กขึ้นดู พบว่าเมล็ดซิ่งแต่ละเมล็ดยังแข็งอยู่มาก นางยังไม่ทันว่าอะไร อวิ๋นจ้าวก็หงุดหงิดแทนนางก่อนแล้ว “พ่อครัวเล่า?”
พ่อบ้านรีบวิ่งไปลากตัวพ่อครัวมาสอบถาม พ่อครัวทราบเรื่องก็คุกเข่าลงกับพื้นก่อนอธิบายว่า “บ่าวผิดไปแล้ว ตอนเคี่ยวโจ๊กใกล้จะได้ที่ ถึงเพิ่งรู้ว่าลืมใส่เมล็ดซิ่งลงไป ด้วยกลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่ากับนายท่านจะรอนาน บ่าวจึงเอาเมล็ดซิ่งลงหม้อเคี่ยวประเดี๋ยวเดียวก็ยกมาแล้ว บ่าวไม่คิดว่า…มันจะยังสุกไม่ทั่ว ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าต้องปวดฟันเช่นนี้ขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ามีจิตใจเมตตา นางย่อมไม่เอ่ยปากตำหนิ เพียงสั่งกำชับว่าคราวหน้าให้ระวัง ก่อนจะบอกให้เขากลับออกไปได้
อวิ๋นจ้าวกลับโกรธเคืองจนทนไม่ได้ “ท่านย่า บ่าวคนนั้นทำผิดก็สมควรลงโทษ ถ้าไม่ลงโทษ อีกไม่นานเขาก็คงจะสะเพร่าอีก”
นายท่านอวิ๋นกล่าวว่า “ท่านย่าเจ้าไม่เอาความแล้ว เจ้าจะก่อกวนอะไรอีก”
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นเขาตำหนิหลานสาวก็ไม่พอใจ ต่อว่าด้วยสีหน้าบึ้งตึง “เจ้าจะดุอวิ๋นเอ๋อร์ทำไมกัน”
นายท่านอวิ๋นไม่เอ่ยอะไรสักคำ เพียงเหลือบมองบุตรสาวแวบหนึ่ง สายตาที่ส่งไปนี้สามารถทำให้อวิ๋นจ้าวกินโจ๊กต่อไปอย่างสงบเสงี่ยม ทั้งที่ปกติแล้วนางน่าจะหันมาทำหน้าทะเล้นใส่ เขาจึงเกิดความสงสัยขึ้นมาชั่วขณะ พอปัดความคิดนี้ทิ้งไปแล้วก็เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ให้ท่านหมอในบ้านเรามาดูอาการหน่อยเถิด”
อวิ๋นฮูหยินกล่าวว่า “วันนี้ท่านหมอเฉิงขอลาพัก ไม่อยู่ในบ้านหรอกเจ้าค่ะ”
อวิ๋นจ้าวจึงรับอาสา “อีกประเดี๋ยวข้าจะออกไปข้างนอก จะถือโอกาสไปเชิญหมอหลวงซ่งที่ถนนเป่ยวั่งนะเจ้าคะ”
หมอหลวงในวังเมื่อเกษียณตัวยามชราแล้ว ส่วนมากก็จะกลับบ้านเกิดไปใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีความสุข ทว่าหมอหลวงซ่งกลับยังรั้งอยู่ในเมืองหลวง ปรารถนาจะใช้ความรู้วิชาแพทย์ของตนเองให้เป็นประโยชน์กับชาวบ้าน เพื่อไม่ให้สิ่งที่ร่ำเรียนมาทั้งชีวิตต้องสูญเปล่า ฉะนั้นการจะเชิญเขามาที่บ้านก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย