ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน เบื่อนักโจ๊กล่าปา ข้าไม่ย้อนเวลาอีกได้ไหม บทที่ 1-บทที่ 2
พอกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว อวิ๋นจ้าวก็ออกไปข้างนอก
เมื่อคืนนางยังไม่รู้สึกว่าตนเองเตี้ยลงกว่าเดิมสักเท่าไร วันนี้พอก้าวข้ามธรณีประตูสูงใหญ่แล้วถึงได้รู้ว่าเมื่อสิบปีก่อนนางเป็นคนรูปร่างทั้งเล็กและเตี้ยเสียจริง มิน่าเล่าลู่อู๋เซิงจึงเอาแต่เรียกนางว่า ‘ถั่วน้อย’ เรียกเช่นนี้มาตั้งแต่นางสามขวบจนอายุสิบสี่ปี นางยังคิดมาตลอดว่ารอให้สูงกว่านี้เมื่อไรจะหัวเราะเยาะกลับให้สาแก่ใจ
หลังเข้าสู่วัยปักปิ่นรูปร่างนางก็เหมือนหน่อไม้ที่แทงยอดขึ้นสูง ไม่ใช่เด็กน้อยตัวเล็กจ้อยอีกแล้ว ทว่าน่าเสียดาย พอนางอายุสิบสี่ปีก็ผิดใจกับเขาจนตัดขาดกัน ต่อให้นางจะสูงขึ้นเท่าใด แต่ก็ไม่รู้จะหันกลับไปหัวเราะเยาะใส่ใครแล้ว
ชีวิตชาตินี้ย้อนกลับมาอีกครั้ง อวิ๋นจ้าวก็พบว่านางเอาแต่คิดถึงลู่อู๋เซิง
คงเป็นเพราะว่าสิบปีต่อมา กว่าคนทั้งสองจะได้พบหน้ากันอีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย จู่ๆ เขากลับพลัดตกหน้าผาตายไป นางย่อมมีความสะเทือนใจอยู่หลายส่วน
อวิ๋นจ้าวสะบัดศีรษะไปมา ไม่อยากจะคิดให้มากอีก เพียงรีบเดินไปทางถนนเป่ยวั่งที่อยู่ห่างไปไม่ไกล เพื่อจะเชิญท่านหมอหลวงซ่ง
หลังส่งท่านหมอผู้ชราขึ้นรถม้าด้วยตนเองแล้ว อวิ๋นจ้าวถึงได้มุ่งหน้าไปยังจวนสกุลลู่
อวิ๋นจ้าวเพิ่งเดินพ้นบ้านหมอหลวงซ่งมาก็เห็นม้าเร็วตัวหนึ่งวิ่งห้อตะบึงพุ่งผ่านข้างกายนางไปอย่างรวดเร็ว ฝุ่นละอองลอยฟุ้งกระจายอยู่เต็มหน้า นางขมวดคิ้วมองตามไปทางนั้น คนบนหลังม้าสวมเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมเงาวาว ข้างเอวยังห้อยกระบี่เล่มหนึ่ง ดูท่าคงจะเป็นองครักษ์ของชนชั้นสูงสักคนกระมัง แต่ควบม้ารีบร้อนปานนี้ ไม่กลัวว่าจะชนผู้คนบ้างเลยหรือ
นางส่งเสียงฮึไม่พอใจคำหนึ่ง ตบแขนเสื้อที่เปื้อนฝุ่นแล้วเดินต่อไป
สกุลลู่และสกุลอวิ๋นสองครอบครัวอยู่ห่างกันเพียงสามช่วงถนน ในเมืองหลวงแห่งนี้ถนนแต่ละสายกว้างขวางยิ่ง บอกว่าห่างกันเพียงสามช่วงถนน แต่ความจริงคือไกลถึงสองลี้* ใช้เวลาเดินนานครึ่งเค่อ** อวิ๋นจ้าวจึงเดินมาถึงประตูใหญ่จวนสกุลลู่
ประตูจวนใหญ่โตโอ่อ่า สิงโตหินหน้าประตูลักษณะดุดันน่าเกรงขามราวกับเป็นเจ้าของจวน จวนที่ครอบครองพื้นที่ไปกว่าครึ่งค่อนถนนนี้ แท้จริงแล้วเป็นจวนที่ฝ่าบาทพระราชทานมา หากพวกเขาจะวางอำนาจบาตรใหญ่บ้างก็ไม่มีใครโต้แย้งอะไร ทว่าสกุลลู่กลับไม่เคยโอ้อวดเช่นนั้น จวนใหญ่โตแห่งนี้แตกต่างไปจากการวางตัวของพวกเขาโดยสิ้นเชิง
บิดาของลู่อู๋เซิงคือแม่ทัพใหญ่ในราชวงศ์ปัจจุบัน ความดีความชอบในการกรำศึกโดดเด่นอย่างยิ่ง เป็นคนที่ย่ำเท้าเบาๆ ก็สามารถสั่นคลอนรากฐานของราชสำนักได้
อวิ๋นจ้าวยืนอยู่ในตรอกเล็กที่อยู่ตรงข้ามจวนสกุลลู่ สังเกตอยู่นานสองนาน ลังเลว่าควรจะเคาะประตูบานนี้อย่างไรดี
นางยังไม่ลืมหรอก เมื่อต้นเดือนตนเองเพิ่งจะตะโกนใส่ลู่อู๋เซิงว่า ‘ข้าจะไม่แยแสเจ้าอีกแล้ว มีเจ้าต้องไม่มีข้า มีข้าต้องไม่มีเจ้า เจ้าเข้าใกล้ข้าแม้เพียงครึ่งก้าว ข้าจะฆ่าเจ้า…’
อวิ๋นจ้าวเอามือกุมหน้าผาก นางปัญญาอ่อนไปแล้วหรือไร แม่เด็กน้อยไร้เดียงสาเอ๊ย
กระนั้นเรื่องในอดีตที่ผ่านไปนานขนาดนั้นก็ยังจำได้เช่นนี้ นับว่าน่าประหลาดมากทีเดียว
นางสูดลมหายใจเข้าลึกยาวๆ และค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมา ทำให้จิตใจสงบเป็นปกติ สุดท้ายก็ย่างเท้าออกไปก้าวหนึ่ง ชั่วขณะที่ปลายเท้าของนางจวนจะแตะพื้นดิน ก็เห็นว่าประตูบานใหญ่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดก่อนจะแง้มเปิด ทันใดนั้นปลายเท้าราวสัมผัสกับน้ำร้อนจัด อวิ๋นจ้าวจึงชักเท้ากลับมาอย่างลนลาน รีบหลบเข้าตรอกไปอีกครั้ง
ประตูบานใหญ่ยาวประมาณหนึ่งจั้ง* ถูกเปิดออกอย่างช้าๆ มีเด็กรับใช้คนหนึ่งวิ่งออกมาจากข้างใน เขาเหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะหันกลับไปกล่าวว่า “คุณชาย รถม้ายังไม่มาเลยขอรับ ข้าจะไปเร่งที่คอกม้าให้เอง นับวันดูจะเหลวไหลขึ้นทุกทีแล้ว”
กล่าวจบเขาก็ผละจากไป หน้าประตูจวนที่เปิดกว้างบานนั้นมีชายหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปดปียืนอยู่คนหนึ่ง
เขารูปร่างสูงโปร่งสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย มองดูคล้ายคุณชายจากตระกูลบัณฑิตผู้ทรงภูมิมากกว่าทายาทตระกูลขุนนางบู๊ เขายืนนิ่งเอาสองมือไพล่หลัง ใบหน้าสะท้อนรับแสงสลัวจากดวงอาทิตย์ในฤดูหนาว มองจากที่ไกลๆ แล้วเห็นเค้าความอ่อนโยนอยู่หลายส่วน
อวิ๋นจ้าวยืนเกาะกำแพงแอบจ้องมองเขา เมื่อก่อนก็รู้สึกว่าเขาดูดีมากอยู่แล้ว ตอนนี้ได้เพ่งมองอย่างละเอียดก็ยิ่งรู้สึกว่ารูปโฉมของเขาหล่อเหลาเหนือธรรมดา มีเสน่ห์จนไม่อาจละสายตาได้เลย
ดูเหมือนสายตาของอวิ๋นจ้าวจะร้อนแรงเกินไป จู่ๆ ลู่อู๋เซิงก็เงยหน้าขึ้นมองตรงไปที่ตรอกฝั่งตรงข้าม นางสะดุ้งตกใจรีบหดคอกลับ จนศีรษะพลาดไปกระแทกกับกำแพง วิงเวียนจนดวงตาสองข้างมีดาวทอประกายวิบวับ
เวลานี้เด็กรับใช้ก็เร่งตามรถม้ามาได้แล้ว เห็นคุณชายของตนยืนอยู่หน้าประตูไม่ขยับ เพ่งมองไปทางตรอกที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “คุณชาย ท่านคงไม่คิดว่าคุณหนูอวิ๋นมาแอบมองอีกหรอกนะขอรับ”
ลู่อู๋เซิงชะงักไปเล็กน้อย เด็กรับใช้จึงเอ่ยเสริมว่า “คุณหนูอวิ๋นเป็นคนหยิ่งยโส ไม่มีทางปรากฏตัวที่นี่แน่ อีกอย่างนางพูดจารุนแรงเกินไปจริงๆ ทั้งยังทำเช่นนั้นกับท่านอีก นางนี่ช่าง…”
ลู่อู๋เซิงหันมองเขา “ปากมาก”
น้ำเสียงไม่เน้นหนัก แต่เด็กรับใช้รีบหุบปากโดยพลัน ไม่กล้าเอ่ยวาจามากความอีก
ขณะที่ลู่อู๋เซิงค้อมกายเข้าไปนั่งในรถม้า เขาก็ยังเหลียวมองที่ตรอกนั้นแวบหนึ่ง แม้สีหน้าเรียบนิ่งไร้คลื่นอารมณ์ ทว่าภายในใจกลับแปรปรวนดั่งคลื่นพลิกแม่น้ำคว่ำทะเล*
ที่ตรอกนั้นถึงจะมองไม่เห็นตัวคน ทว่ากลับมีเงาร่างสั่นไหวไปมาบนพื้นดิน เงาร่างอรชรแกว่งไกวไปตามสายลมพัดพาภาพนี้เข้าสู่ส่วนลึกในใจเขา
สาวน้อยใจร้ายปากแข็ง สุดท้ายก็มาเกาะกำแพงแอบมองอีกแล้ว