นอกจากอวิ๋นจ้าวจะไม่ได้เผชิญหน้ากับลู่อู๋เซิงแล้ว ศีรษะยังกระแทกกำแพงแข็งเข้าเต็มๆ จนนางต้องเดินนวดคลึงหน้าผากกลับไปด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิดถึงขีดสุด
ระหว่างทางนางไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ความจริงจะมาหาเขาหรือไม่ก็ไม่เห็นเป็นอะไร ตัดขาดกันไปสิบปีนางก็ยังมีชีวิตสุขสบายเหมือนเดิม ไม่มีอะไรต้องเสียใจเลยสักนิด ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อไขปริศนาการกลับมาอดีตได้สำเร็จ นางก็ต้องกลับไปยังค่ำคืนนั้นในอีกสิบปีข้างหน้า ทว่าที่นั่นกลับเป็นค่ำคืนที่ไม่มีลู่อู๋เซิงแล้ว เพราะว่าเขาตายในช่วงกลางวันของวันนั้นเอง
พอคิดไปคิดมาฝีเท้าของนางก็ค่อยๆ เชื่องช้าลง จิตใจกระสับกระส่ายสงบลงไปได้ประเดี๋ยวเดียวก็มีเสียงติ๊งดังขึ้น ลอยวนเวียนอยู่ในสมอง ใช่แล้ว…ถ้านางกลับไปได้ ลู่อู๋เซิงก็ต้องตายจริงๆ น่ะสิ!
ฝีเท้าของอวิ๋นจ้าวจึงหยุดชะงักลงทันที นางยืนตะลึงงันอยู่กลางถนนที่ฝูงชนเดินขวักไขว่ มีคนวิ่งแฉลบผ่านไปด้วยความรีบร้อนแล้วนางก็ยังไม่รู้สึกตัว หยาดเหงื่อเย็นเยียบบนแผ่นหลังไหลรวมกันเป็นเม็ด ก่อนจะหยดลงพื้นอย่างเงียบงัน ให้ความรู้สึกอันตรายยิ่งนัก…
อวิ๋นจ้าวนวดคลึงตรงกลางหว่างคิ้ว ช่างเถิด เห็นแก่ที่เขาเคยดีกับนางถึงเพียงนั้น นางจะช่วยชีวิตเขาสักครั้งก็แล้วกัน ยอมเดินไปบนเส้นทางที่เคยผ่านมาแล้วสิบปีอีกรอบหนึ่ง อย่างไรเสียก็ดีกว่าการกลับไปคืนนั้นแล้วต้องได้ยินข่าวร้ายของลู่อู๋เซิง
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ จิตใจของนางก็ผ่อนคลายลง เช่นนั้นเรื่องไปพบหน้าเขาก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนอะไร
พอคิดได้แล้ว ในที่สุดก็เร่งฝีเท้าเร็วขึ้นเพื่อมุ่งหน้ากลับคฤหาสน์ แต่ก่อนจะย่างเท้าเข้าประตู นางก็ไม่ลืมที่จะลูบผมให้ลงมาปรกหน้าผากเพื่อบดบังรอยฟกช้ำ เลี่ยงไม่ให้ผู้ใหญ่ในบ้านต้องเป็นห่วง
ทว่าอวิ๋นจ้าวเพิ่งจะเดินเข้าประตูก็ได้ยินเสียงคนวิ่งมาจากด้านหลัง หันกลับไปมองจึงเห็นว่าเป็นบ่าวรับใช้ในเรือน นางจึงเอ่ยถามว่า “จะรีบร้อนขนาดนี้ทำไมกัน”
บ่าวผู้นี้หอบหายใจอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบว่า “ฮูหยินของติ้งเป่ยโหว* เสียชีวิตแล้วขอรับ!”
พ่อค้าทั้งหลายที่คิดลงหลักปักฐานอยู่ในเมืองหลวง ตั้งใจจะขยายกิจการให้ใหญ่โตรุ่งเรือง ยามถึงโอกาสฉลองปีใหม่จำต้องมอบของขวัญให้บรรดาขุนนางและชนชั้นสูง และขอเพียงมีลมพัดต้นหญ้าไหว** ก็อาจกระทบถึงการค้าของสกุลอวิ๋นได้ ฉะนั้นนายท่านอวิ๋นจึงสั่งกำชับไว้ว่า ไม่ว่าในเมืองมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น พวกบ่าวไพร่ล้วนต้องมารายงานให้ทราบ
ผู้ใดสมควรมอบของขวัญก็นำไปมอบให้ ผู้ใดสมควรหลีกเลี่ยงก็จงเลี่ยงไปเสีย จะได้ไม่พลาดพลั้งล่วงเกินผู้มีอำนาจสูงส่งเข้า
ส่วนติ้งเป่ยโหวนั้น…อวิ๋นจ้าวจำได้ว่าเป็นคนอารมณ์ร้าย จิตใจคับแคบ แต่เขามักจะอยู่ข้างพระวรกายฝ่าบาท ถือเป็นผู้มากบารมีคนหนึ่งในเมืองหลวง ทว่านี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะ…ฮูหยินของติ้งเป่ยโหวในสิบปีข้างหน้านี้ นางยังมีชีวิตอยู่ดีชัดๆ แล้วเหตุใดตอนนี้ถึงด่วนจากไปได้เล่า
เช่นนั้นฮูหยินท่านโหวในอนาคตจะเป็นผู้ใดกัน
อวิ๋นจ้าวยังไม่อาจขบคิดเรื่องนี้ให้กระจ่าง จึงซักถามเพิ่มเติมว่า “เสียชีวิตได้อย่างไร”
“ได้ยินว่าอาการป่วยกำเริบกะทันหัน ติ้งเป่ยโหวส่งองครักษ์ในจวนไปเชิญหมอที่ตรวจอาการให้ฮูหยินอยู่บ่อยๆ แต่ท่านหมออาวุโสกลับไม่อยู่บ้าน องครักษ์จึงไปเชิญหมอท่านอื่น ไหนเลยจะรู้ว่าช้าไปเพียงครึ่งเค่อ ฮูหยินท่านโหวก็สิ้นใจไปก่อน ท่านหมอบอกถ้าหากเร็วกว่านี้อีกสักนิดอาจช่วยฮูหยินได้ทัน ตอนนี้ติ้งเป่ยโหวกำลังโมโหจนแทบคลั่งเลยขอรับ”
อวิ๋นจ้าวพยักหน้ารับรู้ แล้วโบกมือไล่ให้เขาไปรายงานบิดา ส่วนนางเดินตามไปทีหลัง ระหว่างที่เดินไปสองเท้าพลันหยุดนิ่ง หัวใจเต้นตึกตัก
นางนึกถึงเมื่อครู่ที่ไปเชิญหมอหลวงอาวุโสมาดูอาการท่านย่า…
นางนึกถึงม้าเร็วที่จวนเจียนจะพุ่งชนเมื่อตอนเดินพ้นบ้านหมอหลวงซ่ง…
หรือว่าฮูหยินท่านโหวต้องเสียชีวิต เพราะมีสาเหตุทางอ้อมมาจากนาง?
จะเป็นไปได้อย่างไร…
เดิมทีในช่วงสิบปีข้างหน้าฮูหยินท่านโหวจะยังแข็งแรงดี ตอนนี้กลับมาด่วนจากไปเพราะท่านหมอไม่อยู่บ้าน…อวิ๋นจ้าวพยายามปลอบใจตนเองว่าไม่มีทางเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อรวมเบาะแสมากมายที่พบเข้าด้วยกัน ทุกอย่างกลับชี้มาที่นางทั้งสิ้น หรือการเสียชีวิตของฮูหยินท่านโหวจะเกี่ยวข้องกับนางจริงๆ?
ชั่วขณะหนึ่งความรู้สึกผิดผุดวาบในใจอวิ๋นจ้าว ทว่าก็ยังมีข้อสงสัยไม่คลาย หลังเดินเข้าห้องโถงใหญ่ก็พบว่าบ่าวรับใช้กำลังเล่ารายละเอียดให้บิดาฟัง นางนั่งฟังอยู่ด้านข้างด้วยกิริยาที่สงบนิ่งโดยไม่เอ่ยวาจาใด
เพราะไม่ได้พูดถึงว่าท่านหมอผู้นั้นเป็นใคร นายท่านอวิ๋นจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจนัก ตอนนี้หมอหลวงซ่งที่มาตรวจฟันให้ฮูหยินผู้เฒ่าก็เดินออกมา สนทนากับนายท่านอวิ๋นหลายประโยคแล้วจึงเดินจากไป
“อวิ๋นเอ๋อร์ ไปส่งท่านหมอซ่งด้วย”
นายท่านอวิ๋นเห็นบุตรสาวนั่งนิ่งบนเก้าอี้โดยไม่ขยับเขยื้อน ก็ส่งเสียงเรียกนางคำหนึ่ง อวิ๋นจ้าวถึงได้สติกลับมา และลุกขึ้นเดินไปส่งหมอ
พอเดินพ้นประตูใหญ่ ขณะที่ท่านหมอซ่งกำลังจะก้าวขึ้นรถม้า นางก็ก้าวออกไปข้างหน้า ขอร้องเขาว่า “ท่านหมอ ถ้าหากมีคนถามท่านว่าวันนี้ไปตรวจโรคที่ใด ท่านบอกว่าออกไปเดินเล่นจะได้หรือไม่”
ท่านหมอซ่งถามด้วยความข้องใจ “เพราะเหตุใด”
อวิ๋นจ้าวก็ไม่รู้ว่าเหตุใดต้องวิตกกังวลถึงเพียงนี้ แต่กันไว้ย่อมดีกว่าแก้ อย่างไรก็ไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน นางเอ่ยปากไหว้วานซ้ำสอง เขาถึงพยักหน้ารับปาก