ในสายตาของนางบิดามั่นคงพึ่งพาได้ดั่งขุนเขาลูกหนึ่ง
แต่เวลานี้แววตาของนายท่านอวิ๋นกลับหม่นแสงลง เขายืนนิ่งสองมือไพล่หลัง ไม่ว่ากล่าวอะไร เพียงเอ่ยแค่ว่า “ข้าจะไปจวนว่าการเจ้าเมืองสักครั้ง ทำให้พวกเจ้าต้องตกใจเสียขวัญแล้ว ตอนนี้กลับไปก่อนเถิด”
“ท่านพ่อ ข้าจะไปด้วย”
นายท่านอวิ๋นมองสบตานาง ยิ้มบางๆ แล้วกล่าวว่า “เจ้าอยู่ที่บ้านนี่แหละ”
อวิ๋นจ้าวยังคิดจะตามไปให้ได้ แต่พอนายท่านอวิ๋นปรายตามองมาเล็กน้อย นางก็ไม่กล้าเอ่ยปากอีก ได้แต่ส่งเขาออกจากบ้านไปอย่างเงียบงัน
รถม้าที่นายท่านอวิ๋นนั่งวิ่งฝ่าหิมะโปรยปราย ปะทะกระแสลมหนาวพาให้กายสะท้าน พู่ระย้าประดับรถม้าปลิวว่อนตามแรงลม ลวงตาคนให้สับสนงงงวยยิ่งนัก
อวิ๋นจ้าวกอดเตาอุ่นใบเล็กไว้ในอ้อมแขน จนกระทั่งรถม้าเลี้ยวตรงหัวมุมถนนหายลับไปไม่เห็นเงาแล้ว นางถึงค่อยถอนสายตากลับมา และหันหลังเดินกลับเข้าบ้าน
“อวิ๋นอวิ๋น”
เสียงเรียกจากด้านหลังก้องกังวานและสุขุมเยือกเย็น ทั้งวิธีการเรียกขานยังเป็นแบบเฉพาะที่ไม่เหมือนใคร บนโลกมีเพียงคนเดียวที่เรียกนางเช่นนี้
ร่างของอวิ๋นจ้าวสั่นไหวตามเสียงเรียก พอกลั้นใจหันกลับไปมอง นางก็เห็นว่าที่ปลายขั้นบันไดสีขาวมีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ ใบหน้าของเขาคมคายงามสง่า แสงอาทิตย์หม่นมัวส่องสะท้อนใบหน้า ทำให้มองเห็นความอ่อนโยนละมุนละไม นางเม้มริมฝีปากแน่น ชั่วขณะหนึ่งไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากเช่นไรดี
ลู่อู๋เซิงเห็นอวิ๋นจ้าวไม่ขว้างปาข้าวของและด่าทอตนเอง ในใจเขาพลันเกิดความสับสน ก่อนจะระลึกได้ว่าตนมาด้วยเรื่องสำคัญ เขาย่างเท้าก้าวเดียวข้ามไปสองขั้นบันได ยื่นมือคว้าข้อมือนางไว้แล้วดึงตัวลงมา
มือที่ยื่นมาเกาะกุมนั้นเย็นเฉียบ เย็นเสียจนทำให้อวิ๋นจ้าวขมวดคิ้ว นางยอมเดินตามเขาไปด้วยความไม่เต็มใจอยู่บ้าง กระนั้นนางก็มั่นใจว่าเขามีเรื่องจะบอกกล่าวจึงไม่แสดงท่าทีปฏิเสธหรือขัดขืน เพียงปล่อยให้เขาดึงตัวนางจากหน้าประตูคฤหาสน์สกุลอวิ๋นเดินเข้าไปที่ตรอกแห่งหนึ่ง
ลู่อู๋เซิงเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว ว่าตนเองต้องโดนหมัดอันไร้เรี่ยวแรงของนางทุบตีเป็นพัลวันแน่ แต่ไม่คาดคิดว่านางจะยอมตามเขามาอย่างว่าง่ายโดยไม่แสดงความหงุดหงิดโกรธเคืองแต่อย่างใด ลู่อู๋เซิงรู้สึกสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ เขาหันไปเผชิญหน้ากับนาง เห็นว่ามีหิมะร่วงใส่ศีรษะนาง จึงยกมือช่วยปัดออกเบาๆ แล้วถามว่า “พวกเจ้าไปล่วงเกินติ้งเป่ยโหวตั้งแต่เมื่อใดกัน”
อวิ๋นจ้าวนิ่งงันชั่วครู่ ทันใดนั้นนางก็เข้าใจกระจ่างแจ้ง “สุดท้ายเขาก็ตรวจสอบได้จริงๆ สินะ”
นางรีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นอีกรอบหนึ่ง ลู่อู๋เซิงฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว “เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เพียงแค่ประจวบเหมาะมากไปหน่อย แต่ว่า…”
“แต่ว่าติ้งเป่ยโหวไม่คิดเช่นนี้ เขาคิดว่าสกุลอวิ๋นเป็นสาเหตุให้ฮูหยินของเขาต้องตาย ก็เลยหาทางแก้แค้นพวกเรา ความจริง…” ความจริงก็เพราะนางเป็นต้นเหตุ ถึงทำให้เรื่องราวเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ ทำให้หมอไปรักษาฮูหยินของติ้งเป่ยโหวไม่ทัน อวิ๋นจ้าวเหลือบมองลู่อู๋เซิง แต่สุดท้ายนางก็ไม่เอ่ยอะไรออกมา
ลู่อู๋เซิงพยักหน้ารับรู้พลางกล่าวเสริมว่า “ติ้งเป่ยโหวท่าทีแข็งกร้าวดุดัน เกรงว่าคงไม่ปล่อยพวกเจ้าไปง่ายๆ ข้าให้คนส่งจดหมายถึงท่านพ่อแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะทันการณ์หรือไม่”
อวิ๋นจ้าวรู้ว่าเขาทำอะไรรอบคอบรัดกุมเสมอ แต่เขาเพิ่งก้าวเข้าสู่เส้นทางขุนนาง ในราชสำนักวาจาของเขายังไม่มีน้ำหนักอะไร ยิ่งไปกว่านั้นฝ่ายตรงข้ามเป็นถึงติ้งเป่ยโหว แม้อีกฝ่ายจะเป็นคนหยิ่งผยองและหุนหันพลันแล่นเพียงใด แต่คุณความดีที่เคยทำมาในอดีตก็เป็นที่ประจักษ์ อีกทั้งยังมีคนในตระกูลเป็นสนมชายาอยู่ในวัง สามารถคอยกล่าววาจายุแยงข้างพระวรกายฮ่องเต้ได้ หากคิดอยากกำจัดพ่อค้าสักคนจะมีอะไรยากเย็นเล่า
ท่านแม่ทัพลู่ก็อยู่ไกลถึงนอกด่าน น้ำไกลไม่อาจดับไฟใกล้* สุดท้ายก็ต้องช่วยเหลือตนเองเท่านั้น
อวิ๋นจ้าวไม่อยากรั้งอยู่ตรงนี้นานนัก นางอยากเสาะหาผู้มีอำนาจสักหลายๆ คนที่สามารถคุ้มครองสกุลอวิ๋นได้ แม้ว่าจะต้องทุ่มทรัพย์สมบัติไปทั้งหมด ก็ต้องอดทนให้ผ่านพ้นเคราะห์คราวนี้ให้ได้
นางเดินไปสองสามก้าว ถึงนึกขึ้นได้ว่าเรื่องที่เขาตั้งใจมาพบนางเช่นนี้ หากมีใครทราบเรื่องเข้าล่ะก็ เท่ากับล่วงเกินติ้งเป่ยโหวโดยอ้อมแน่ นางจึงหันกลับไปกล่าวว่า “ขอบคุณ”