นายท่านอวิ๋นไม่คิดว่าจู่ๆ บุตรสาวจะรู้ความเช่นนี้ เขาพยายามสงบสติอารมณ์ ยิ้มแย้มแล้วตอบว่า “พ่อไม่เป็นไรหรอก กลัวแต่ว่าจะทำให้ท่านย่ากับท่านแม่เจ้าตกใจ พวกนางเป็นคนขี้กลัว เอาไว้พ่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย จะไปรับพวกเจ้ากลับมา เชื่อฟังพ่อนะ อวิ๋นเอ๋อร์”
อวิ๋นจ้าวมองบิดาด้วยสายตาเลื่อนลอย มองจนนายท่านอวิ๋นตระหนักได้ว่าวาจาของตนเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ติ้งเป่ยโหวเปี่ยมด้วยอำนาจบารมี หากคิดจะจัดการเขาให้ถึงที่ตาย สกุลอวิ๋นย่อมไร้ผู้มีอำนาจคอยช่วยเหลือ มีแต่จะต้องตายตกไปตามๆ กัน เช่นนั้นก็ให้เขาตายคนเดียวเถอะ อย่างน้อยก็ปกป้องคนในครอบครัวให้อยู่รอดปลอดภัย
อวิ๋นจ้าวรู้แก่ใจดีว่ารั้งอยู่นานก็ไร้ประโยชน์ แม้ในเมืองหลวงติ้งเป่ยโหวใช่ว่าจะเป็นหนึ่งเหนือผู้ใด แต่อย่างไรเขาก็เป็นถึงท่านโหว จะเอาชีวิตพ่อค้าคนหนึ่งยากเย็นนักหรือ
นางเช็ดรอยน้ำตา เอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “ท่านพ่อ อวิ๋นเอ๋อร์จะต้องช่วยท่านออกไปให้ได้”
พอนางกล่าวจบก็ไม่รอช้า รีบหันกายเดินจากไป นายท่านอวิ๋นเห็นแล้วร้อนใจยิ่งนัก ร้องเรียกชื่อบุตรสาวอยู่ตลอด ทว่านางไม่หันกลับมา เงาหลังเพียงสะท้อนความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว เขารู้สึกใจหายวาบ บุตรสาวเขามีนิสัยดื้อรั้นมาแต่ไหนแต่ไร นี่นางคิดจะสู้กับติ้งเป่ยโหวอย่างนั้นหรือ
ขณะที่อวิ๋นจ้าวจะก้าวออกจากคุก นางก็นำเงินทองที่ติดตัวมาให้ผู้คุมไปทั้งหมด ไหว้วานให้เขาดูแลบิดาของนางอย่างดี จากนั้นก็มุ่งหน้ากลับบ้าน สี่เชวี่ยเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วงว่า “คุณหนู ท่านอย่าได้วู่วามนะเจ้าคะ”
วู่วามหรือ อวิ๋นจ้าวไม่มีสิทธิ์จะวู่วาม นางมีแต่ความเสียใจและแค้นเคือง ทั้งยังมีเรื่องราวอันยุ่งเหยิงหลังจากย้อนกลับมา ซึ่งทำให้นางปวดเศียรเวียนเกล้าเสียเหลือเกิน
พอกลับถึงบ้านยังไม่ทันเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ นางก็เห็นใครคนหนึ่งกำลังเดินไปเดินมาอยู่กลางห้อง ท่าทางแลดูกลัดกลุ้ม พ่อบ้านเห็นนางกลับมาแล้วจึงรีบเดินมาหาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเท่าใดนัก “คุณหนู บ่าวทำตามคำสั่งของท่าน ไปขอพบใต้เท้าทั้งหลายที่ปกติไปมาหาสู่กับเรา ไม่คิดเลยว่าพวกเขากลับพากันปิดประตูไม่รับแขก”
ผลลัพธ์เป็นไปตามความคาดหมาย อวิ๋นจ้าวไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด
แต่หากให้บิดาอยู่ในคุกนานกว่านี้หนึ่งเค่อก็จะมีอันตรายมากขึ้นอีกหนึ่งส่วน นางพยายามทำใจให้สงบลง คิดใคร่ครวญชั่วครู่ก็หันหลังเดินออกจากบ้านไปอีกครั้ง พ่อบ้านเห็นเข้าก็ร้องถามว่า “คุณหนูจะไปที่ใดขอรับ”
“ไปช่วยพ่อข้า”
พ่อบ้านไม่รู้ว่านางจะมีหนทางใดมาช่วยคนได้ แต่พอได้ยินคำพูดนี้ของนางแล้ว ก็รู้สึกว่ามีกลิ่นอายของการจากลาแฝงอยู่
อวิ๋นจ้าวเข้าใจคำกล่าวที่ว่า ‘ชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต’ ฉะนั้นนางอยากไปพบติ้งเป่ยโหว ใช้ชีวิตของตนเองแลกกับชีวิตบิดา ในเมื่อตัวนางได้ย้อนกลับมาในตอนอายุสิบสี่เช่นนี้ นั่นก็หมายความตัวนางในอีกสิบปีข้างหน้าอาจจะตายไปแล้ว ถึงการตายครั้งนี้จะดูเหมือนเป็นการตายล่วงหน้าถึงสิบปี แต่ความจริงแล้วก็ห่างกันแค่ไม่กี่วัน ไม่มีอะไรต้องเสียดายเลย
นางคิดอยู่แค่อย่างเดียว…อย่าตายอย่างเจ็บปวดเกินไปแล้วกัน
อวิ๋นจ้าวเพิ่งจะออกไป ฮูหยินผู้เฒ่าก็กลับมาจากข้างนอก เห็นรถม้าของหลานสาวห้อตะบึงพ้นตรอกไปก็ส่ายหน้า แอบคิดในใจว่า เอาไว้กลับมาเมื่อไรจะต้องตำหนิอย่างจริงจังสักรอบหนึ่ง ทว่ายังเดินไม่ถึงประตูคฤหาสน์ก็มองเห็นสาวใช้ประจำตัวของหลานสาวไม่ได้ติดตามไปด้วย นางพลันรู้สึกแปลกใจ ขณะจะเอ่ยปากถาม ไม่คาดคิดว่าพอสาวใช้สบตากับนางแวบหนึ่งแล้ว สีหน้าจะแปรเปลี่ยนในชั่วพริบตา ทั้งยังพยายามหลบเลี่ยงสายตาของนางด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้ว นิ้วมือยังคงคลึงลูกประคำ ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”