หน้าประตูจวนติ้งเป่ยโหวมีผ้าแพรสีขาวแขวนประดับเอาไว้ ส่วนโคมอักษรเตี้ยน* สีขาวสะท้อนแสงรับกับหิมะขาวบริเวณพื้นหน้าประตู สีขาวซีดจางของหิมะยิ่งทำให้โคมไฟดูโศกเศร้าวังเวงเป็นเท่าทวี อวิ๋นจ้าวเงยหน้ามองโคมไฟสีขาวนั้น ก่อนจะละสายตากลับมาอย่างช้าๆ มองไปที่ประตูบานใหญ่อันน่าเกรงขาม เงินกระดาษเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด ราวกับปูเป็นทางเล็กๆ สายหนึ่งในยมโลก แผ่กลิ่นอายน่าสะพรึงกลัว
นางก้าวไปข้างหน้าก่อนจะยกห่วงทองแดงเคาะประตู พอมีบ่าวรับใช้มาเปิดประตู อวิ๋นจ้าวก็เอ่ยว่า “ข้าอยากพบท่านโหวของพวกเจ้า รบกวนไปรายงานด้วย เจ้าบอกไปว่าข้าเป็นคนสกุลอวิ๋น”
บ่าวผู้นี้พยักหน้ารับ เขาปิดประตูแล้วกลับไปรายงาน ผละจากไปคราวนี้นานเกือบครึ่งชั่วยาม ไม่เห็นวี่แววว่าประตูจะเปิดออกอีก
พายุหิมะเบื้องหลังแผดเสียงหวีดหวิว อวิ๋นจ้าวที่ไม่ได้พกเตาอุ่นติดตัว อีกทั้งระหกระเหินอยู่ข้างนอกมาครึ่งค่อนวันพลันรู้สึกว่าความอบอุ่นในร่างถูกลมหนาวพัดหายไปอย่างช้าๆ อากาศเริ่มหนาวเหน็บมากขึ้นทุกที ยกมือลูบใบหน้าก็พบว่าพวงแก้มสองข้างเริ่มแข็งไปเล็กน้อย นางเป่าลมหายใจใส่ฝ่ามือ ถูมือไปมา แต่ประเดี๋ยวเดียวไออุ่นที่เกิดขึ้นก็โดนลมหนาวกลืนกิน
หลังจากรอต่อไปอีกครึ่งชั่วยาม ในที่สุดประตูบานใหญ่ก็เปิดออก บ่าวรับใช้จวนโหวเห็นว่านางยังอยู่ก็ประหลาดใจ และบอกให้นางเข้ามาข้างใน
ชั่วขณะที่เดินข้ามธรณีประตู อวิ๋นจ้าวถึงรู้ตัวว่าสองขาของตนด้านชาไปหมดแล้ว เดินอยู่หลายก้าวจึงค่อยมีอาการดีขึ้นหน่อย พอเดินมาถึงห้องโถงใหญ่ นางก็เห็นว่าตรงกลางห้องมีบุรุษรูปร่างสูงใหญ่สวมเสื้อขนสัตว์นั่งอยู่
บุรุษผู้นั้นได้ยินเสียงพลันเงยหน้าขึ้น จ้องมองนางด้วยแววตาเย็นเยียบ “เจ้าคือคนของสกุลอวิ๋น?”
อวิ๋นจ้าวพยักหน้าตอบ เบื้องหน้ามีโลงศพตั้งวางอย่างเงียบสงบใบหนึ่ง เหนือโลงศพนั้นมีกระถางธูปและธูปปักไว้ กลิ่นควันธูปหอมกรุ่นอบอวลไปทั่วห้องโถงใหญ่ นางยิ่งรู้สึกว่าตนเองกำลังเหยียบย่างอยู่บนทางน้ำพุเหลือง**
“เจ้าอยากขอความเมตตาแทนพ่อเจ้าหรือ แต่ชีวิตแลกด้วยชีวิตถือเป็นหลักการฟ้าดิน”
“ฮูหยินของท่านตายก็เพราะข้า ไม่เกี่ยวกับท่านพ่อ” อวิ๋นจ้าวเงยหน้ามองเขา ดวงตาไร้ความหวาดกลัว “ข้าเป็นคนเสนอความคิดให้ไปเชิญหมอหลวงซ่งมาเอง ถ้าหากท่านไม่เชื่อ สามารถไปสอบถามเพื่อนบ้านสกุลซ่ง แม้แต่คนบังคับรถม้าที่คอยรับส่งหมอหลวงซ่งก็เป็นพยานให้ได้”
แววตาของติ้งเป่ยโหวยิ่งน่าขนลุก “เหตุใดเจ้าถึงพูดเรื่องนี้ออกมา”
“เพราะข้าทนดูท่านพ่อตายไปไม่ได้”
“แต่เจ้าพูดออกมา เจ้าก็ต้องตายแทนแล้ว”
“หากสามารถแลกกับชีวิตท่านพ่อ และทำให้ท่านโหวใจเย็นลงได้ นั่นก็ไม่นับว่าข้าตายเปล่าแล้ว”
ติ้งเป่ยโหวไม่คิดว่าเด็กสาวอายุสิบสี่สิบห้าจะมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวถึงเพียงนี้ จึงรู้สึกชื่นชมอยู่ไม่น้อย แต่พอนึกถึงภรรยาที่ต้องตายเพราะนาง ความเคียดแค้นก็ปะทุขึ้นในอกอีกครั้ง
“ข้ารับปากเจ้า ถ้าหากเจ้าตายไปก็จะไม่สืบสาวความผิดของเจ้าอีก ข้ายอมให้เจ้าตายอย่างมีเกียรติ ส่วนเรื่องวิธีการก็ให้เจ้าเป็นผู้เลือกเอง แต่วันพรุ่งนี้เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นเจ้าจะต้องตาย ทันทีที่เจ้าตาย ข้าก็จะปล่อยพ่อเจ้าเอง”
อวิ๋นจ้าวรู้ว่านางไม่มีสิทธิ์ต่อรองเงื่อนไขกับเขา แม้นางจะร้องขอให้ปล่อยบิดาออกมาก่อน แต่หลังจากนางตายไปแล้ว หากเขาเกิดโมโหเดือดดาลจนยากระงับอีก ก็ยังจับบิดาของนางกลับเข้าคุกได้ง่ายดายอยู่ดี
“หวังว่าสัญญาของท่านโหวจะหนักแน่นน่าเชื่อถือ ไม่ผิดคำพูดที่ให้ไว้” อวิ๋นจ้าวรู้ว่าตนเองไม่อาจข่มขู่เขาได้ จึงเอ่ยเพียงว่า “มิเช่นนั้นต่อให้ข้าตายเป็นผี ก็ไม่ปล่อยท่านไปแน่”