วัดวั่นซานแห่งนี้อยู่ลึกเข้าไป ป่าไผ่ที่โอบล้อมโดยรอบเสียดสีดังสวบสาบท่ามกลางลมหนาวที่พัดเข้ามา พอลมกระโชกแรงขึ้นใบไม้ที่แห้งเหี่ยวก็ปลิวว่อนไปในอากาศ
ฮูหยินผู้เฒ่าเดินเข้าวัดมาแล้วก็มุ่งหน้าไปกราบพระ รอให้บ่าวไพร่วางเบาะสานทรงกลมเรียบร้อย ถึงพบว่ายามนี้ข้างกายตนเองว่างเปล่า หลานสาวสุดที่รักของนางหายไปแล้ว พอหันไปถามหมัวมัว* นางก็ยิ้มเจื่อนตอบว่า “คุณหนูบอกว่ารู้สึกปวดท้อง ประเดี๋ยวก็กลับมาเจ้าค่ะ”
“คงไม่ใช่ว่า…” ฮูหยินผู้เฒ่าหาใช่คนโง่เขลา คาดเดาได้ว่านางคงไปหาลู่อู๋เซิงเสียแล้ว เมื่อครู่เห็นมีท่าทางผิดแปลกไป ตอนนี้นางถึงเข้าใจเรื่องราว
เด็กสาวสมัยนี้หนอ…
ฮูหยินผู้เฒ่าส่ายหน้าแล้วยิ้มน้อยๆ สีหน้าแลดูผ่อนคลายไม่น้อย
อวิ๋นจ้าวไปหาลู่อู๋เซิงจริงๆ
นางยืนกอดเตาอุ่นอยู่ตรงก้อนหินข้างประตูทางเข้าวัด อาศัยหินก้อนใหญ่กำบังลมภูเขาที่พัดมา กระแสลมแรงมากทีเดียว เพียงแค่นางยื่นหน้าออกไป เส้นผมสีดำขลับก็ปลิวยุ่งเหยิงไปหมด นางจึงไม่กล้าโผล่หน้าแอบมองแล้ว กลัวว่าตนเองจะมีสภาพที่น่าเกลียดเข้าเสียก่อน
รออยู่นานครึ่งเค่อ นางจ้องมองผู้คนที่เดินขึ้นลงเขาอย่างต่อเนื่อง เบิกตากว้างพยายามมองหาเขาแล้ว แต่เขาก็ยังไม่เห็นมาสักที
ยังไม่มาอีก ยังไม่มาอีกหรือ อวิ๋นจ้าวกระทืบเท้าอย่างขัดใจ ชักช้าจริงเชียว
เวลาผ่านไปอีกพักใหญ่ ลู่อู๋เซิงที่จงใจผ่อนฝีเท้าให้ช้าลงเพราะไม่อยากให้อวิ๋นจ้าวรู้สึกอึดอัดก็ย่างเท้ามาถึงทางเข้าประตูวัดในที่สุด ขณะกำลังจะเดินแฉลบผ่านหินก้อนใหญ่ไป เขาก็รับรู้ได้ว่ามีกระแสลมแรงพัดมา เขารีบหันขวับ แต่ก็รวดเร็วเกินไปจนอวิ๋นจ้าวตั้งตัวไม่ทัน สะดุ้งตกใจอย่างมาก
นางขมวดคิ้วแล้วยกมือทุบเขาไปหนึ่งหมัด ต่อว่าอย่างขุ่นเคือง “ข้ารอท่านอยู่ตั้งนาน จนจะหนาวตายอยู่แล้ว ยังมาทำให้ข้าตกใจอีก”
หมัดนี้ของนางแผ่วเบายิ่ง ไม่เจ็บไม่คันเลยสักนิด ทว่าหมัดที่กระหน่ำทุบตีไม่ยอมหยุดนี้กลับทุบลงกลางใจของลู่อู๋เซิงอย่างหนักหน่วง เขาจัดกลุ่มผมม้าที่แตกกระจายเป็นส่วนๆ ของอวิ๋นจ้าวให้กลับเข้าทรงอย่างเบามือ
อวิ๋นจ้าวไม่ได้ปัดมือเขาออก นางเพียงก้มหน้าลง ปล่อยให้เขาจัดการกับผมม้าที่ยุ่งเหยิงพวกนั้น เมื่อก่อนนางยังคิดว่ารอให้ถึงวัยปักปิ่น นางจะหวีผมที่ปรกหน้าผากเข้ากับผมเปียไปให้หมด เท่านี้ก็ไม่ต้องกลัวลมพัดแล้ว แต่ตอนนี้นางไม่อยากทำเช่นนั้นแล้ว เพราะจะได้มีคนช่วยจัดทรงผมให้นาง
ด้านหลังก้อนหินไม่มีลม ลู่อู๋เซิงจึงจัดผมให้อวิ๋นจ้าวเข้าที่ได้ดังเดิม ไม่มีผมปอยใดแตกแถวออกมาอีก นางช้อนตามองเขาแล้วเอ่ยว่า “ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่าน”
ลู่อู๋เซิงมองคนที่เดินผ่านไปมา ก่อนทำท่าทางบอกให้นางเดินไปทางป่าไผ่
บริเวณป่าไผ่มีผู้คนอยู่บางตา กระนั้นก็ยังได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากภายนอก ลู่อู๋เซิงไม่ได้เดินเข้าไปข้างในต่อ ทำให้อวิ๋นจ้าวรู้สึกสบายใจขึ้นมา บุรุษที่นางชอบไม่ใช่คนฉวยโอกาสทำเรื่องเลวร้ายพรรค์นั้น ทว่านางมีเรื่องที่อยากจะพูดมากมาย ย่อมกลัวจะมีคนเข้ามาขัดจังหวะนาง คิดทบทวนดูแล้ว นางก็คว้าแขนเสื้อของเขาแล้วเดินลึกเข้าไปข้างใน
ในส่วนลึกของป่าไผ่ มีเพียงเสียงนกโผบินผ่านไปมา
ลู่อู๋เซิงปล่อยให้นางพาเดินไป ในสายตาของเขามองเห็นภาพเงาหลังของนางอย่างแจ่มชัด
กระทั่งแทบไม่ได้ยินเสียงจากภายนอกแล้ว อวิ๋นจ้าวถึงหยุดฝีเท้าลง นางสบตามองเขาอย่างจริงจัง ลู่อู๋เซิงเองก็ยืนนิ่งอยู่เช่นเดิม มองนางในดวงใจอยู่เงียบๆ
“ลู่อู๋เซิง ข้าอยากจะถามท่านให้ชัดเจนสองเรื่อง” อวิ๋นจ้าวเสียเวลาไปมากถึงสิบปีแล้ว นางไม่อยากปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปอีกแม้แต่นิดเดียว นางจึงถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “เมื่อเดือนก่อนท่านจูงมือสตรีนางหนึ่งเข้าร้านวั่นเป่าไจเพื่อเลือกซื้อเครื่องประดับใช่หรือไม่”
ลู่อู๋เซิงอึ้งไปเล็กน้อย “เพราะเรื่องนี้เจ้าก็เลยเข้าใจข้าผิด โกรธข้าจนไม่ยอมฟังคำอธิบายน่ะหรือ”
อวิ๋นจ้าวโมโหจนแทบจะกระทืบเท้า “ข้าไม่ฟังคำอธิบายท่านที่ไหนกัน เป็นท่านที่ไม่ยอมแม้แต่จะพบข้าต่างหาก! ทั้งยังส่งจดหมายตัดสัมพันธ์มาให้ข้าด้วย!”