อวิ๋นฮูหยินกลืนคำพูดที่เหลือลงท้อง แต่อวิ๋นจ้าวฟังออกว่ามารดาจะบอกอะไร เดิมทีนางก็มองตำแหน่งที่เคยเป็นของท่านย่าซึ่งตอนนี้ว่างเปล่าอยู่เช่นกัน หยาดน้ำตาจวนเจียนจะไหลริน นางพยักหน้ารับก่อนจะลุกขึ้นเดินกลับห้อง
เมื่อเดินผ่านลานบ้านที่เงียบเหงาวังเวง ลมหนาวพัดผ่านระเบียงทางเดินที่ไร้กำแพงบดบัง ความเย็นยะเยือกแทรกซึมสู่ใจจนไม่เหลือความอบอุ่น
แต่ละย่างก้าวที่อวิ๋นจ้าวเดินไป เงาหลังก็สะท้อนความหม่นหมองอ้างว้าง บ่าวรับใช้ที่ติดตามอยู่ข้างหลังมองแล้วก็ทุกข์ใจกันถ้วนหน้า สี่เชวี่ยยิ่งรู้สึกละอายใจ หากไม่ใช่เพราะนาง…เฮ่อ
อวิ๋นจ้าวเดินเข้ามาในห้อง นางนอนลงบนเตียงโดยลืมว่าต้องบ้วนปากล้างหน้า บ่าวรับใช้เห็นเช่นนั้นก็เติมถ่านในเตาผิงให้ร้อนแล้วถอยออกไป
ผ่านไปพักใหญ่เริ่มรู้สึกไม่สบายตัว อวิ๋นจ้าวจึงตื่นขึ้นมา เมื่อครู่นางผล็อยหลับไปแล้ว เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงอยู่บ้าง นางลุกขึ้นมาเงียบๆ เตรียมจะถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกเพราะมันหนาอึดอัดเกินไป เหมือนกับนำผ้าห่มมาสวมทับร่างไว้อย่างไรอย่างนั้น
พอได้ยินความเคลื่อนไหวในห้อง ระหว่างที่นางลุกขึ้นมานั้น ข้างนอกก็มีเสียงบ่าวรับใช้ดังขึ้น “คุณหนู”
“มีเรื่องอะไร” น้ำเสียงของนางแหบพร่า
อวิ๋นจ้าวลงจากเตียงไปรินน้ำชา เพิ่งจะดื่มไปได้คำหนึ่งก็ได้ยินบ่าวรับใช้กดเสียงลงต่ำกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “คุณชายลู่มายืนเฝ้าอยู่นอกประตูใหญ่นานแล้ว พวกเราไปเชิญเขาเข้ามา เขากลับบอกว่าไม่ต้อง ทั้งยังสั่งให้พวกเราไม่ต้องบอกท่านด้วยเจ้าค่ะ”
ตอนนี้พอได้ยินชื่อของลู่อู๋เซิง อวิ๋นจ้าวกลับนึกถึงเหตุการณ์วันที่เขาตายจากไปขึ้นมาทันที
วันนั้นนางกำลังตรวจเทียบบัญชีกับหลงจู๊ทั้งหลายก็ได้ยินข่าวร้ายนี้อย่างกะทันหัน นางไม่มีท่าทีสะทกสะท้านแต่อย่างใด กระทั่งตรวจเทียบบัญชีเสร็จแล้วก็เดินออกจากห้อง นางเดินไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าพวงแก้มสองข้างเย็นเฉียบ ยกมือขึ้นลูบดูก็พบว่ามีแต่รอยน้ำตา
ที่แท้นางยังชอบลู่อู๋เซิงอยู่มาก แม้ไม่พบหน้ากันมานานสิบปี นางก็ยังชอบเขาอยู่
พอคิดถึงท่านย่า คิดถึงลู่อู๋เซิงแล้ว น้ำตาที่แห้งเหือดไปเมื่อตอนกลางวันก็ไหลพรั่งพรูออกมา นางก้มหน้าเช็ดน้ำตาและก้าวออกไปข้างนอก
นางอยากเห็นหน้าเขา
ช่วงค่ำลมหนาวพัดกระโชกมาจากทุกทิศทาง หอบเอาความอบอุ่นที่หลงเหลืออยู่ใต้ท้องฟ้าอันมืดมิดให้สลายหายไป ลู่อู๋เซิงยืนอยู่ข้างนอกมานานจนเริ่มรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกได้จากทั่วร่างจรดฝ่าเท้า ในคฤหาสน์สกุลอวิ๋นบรรยากาศวังเวงลงกว่าเดิม เขาปัดหิมะที่ร่วงลงไหล่ คิดจะกลับไปก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่
ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังออกมาจากในคฤหาสน์ที่เงียบเหงา เขาเงี่ยหูฟังด้วยความตั้งใจ เสียงฝีเท้านี้ไม่มีการลงน้ำหนัก ทั้งรวดเร็วฉับไว และคุ้นหูเขายิ่งนัก เสียงดังก้องสะท้อนอยู่ในหู ทุกย่างก้าวประทับลงในก้นบึ้งของหัวใจ
พอประตูบานใหญ่เปิดกว้าง เขาก็ส่งเสียงเรียก “อวิ๋นอวิ๋น”
อวิ๋นจ้าวยืนนิ่ง ไม่ยอมเดินลงบันไดมา นางคิดว่าจากเหตุการณ์ที่พลิกผันมาจนถึงวันนี้ อย่างไรเขาก็ต้องตายจากไปสักวัน เพราะฉะนั้นทุกก้าวที่เดินเข้าไปใกล้เขา ก็มิต่างจากมีดที่ปักลงกลางใจเล่มหนึ่ง
ในเมื่อต้องจากลากันอยู่แล้วยังจะอยู่เคียงข้างไปไย
ลู่อู๋เซิงเห็นนางยืนนิ่งไม่เอ่ยวาจา กำลังจะก้าวขึ้นบันไดไปหา ก็เห็นดวงตาสองข้างของนางจ้องเขม็ง ก่อนเปล่งเสียงเกือบจะเป็นตะโกนออกมาว่า “อย่าเข้ามานะ!”