อวิ๋นจ้าวรู้สึกยินดีปรีดา เช่นนั้นหมายความว่าท่านย่ายังไม่ตาย! นางรีบก้มลงมองหารองเท้าของตนเอง แทบอยากจะวิ่งไปหาท่านย่าที่ห้องเสียเดี๋ยวนี้ คุยให้ฟังว่านางเพิ่งจะฝันแปลกประหลาดแค่ไหน
นิ้วมือสัมผัสถึงบางสิ่งได้ รองเท้าอยู่ตรงนี้นี่เอง นางหยิบขึ้นมาเตรียมจะสวมใส่ ฉับพลันนิ้วมือก็แข็งค้างในชั่วพริบตา
นอกหน้าต่างแสงจันทร์เบาบาง แต่ดวงดาวกลับพร่างพราวสว่างไสว ตอนนี้นางขยับตัวลุกจากเตียง มองสำรวจข้าวของในห้องอย่างละเอียด รองเท้าในมือ…เล็กเหลือเกิน
“ตุ้บ…”
รองเท้าหลุดร่วงจากมือหล่นลงพื้น มีเสียงเคาะประตูห้องหนักๆ ดังขึ้นสองครั้ง อวิ๋นจ้าวยกมือที่สั่นเทาลูบใบหน้าตนเอง ผิวพรรณเนียนนุ่มชุ่มชื้น ไม่ใช่นางในวัยผู้ใหญ่เลยสักนิด
ที่แท้เมื่อครู่คือความฝัน
อวิ๋นจ้าวจิตใจสลดหดหู่ลง นางนั่งนิ่งอยู่ตรงขอบเตียง เหม่อมองรองเท้ากลิ้งไปบนพื้น แล้วถอนสายตากลับมา ก้มมองเท้าที่ทั้งเนียนละเอียดและขาวสะอาด นี่เป็นเท้าของเด็กสาวแรกรุ่น
นางเอนหลังนอนลงไป สภาพจิตใจราวกับจมดิ่งสู่ยมโลก รู้สึกหมดสิ้นเรี่ยวแรง
“คุณหนู คุณหนู” อาจเป็นเพราะเนิ่นนานก็ยังไม่มีเสียงตอบกลับ คนนอกประตูห้องจึงพึมพำว่า “คงจะนอนละเมออีกเป็นแน่”
เสียงที่เอ่ยออกมาฟังดูแผ่วเบา แต่อวิ๋นจ้าวกลับได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ นางค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อตอนกลางวันสี่เชวี่ยร้องไห้จนกลายเป็นมนุษย์น้ำตา น่าจะร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไปหมดแล้ว ทว่าเมื่อครู่กลับกังวานใสเป็นปกติ
นางขยับลุกขึ้นนั่งช้าๆ กระทั่งรองเท้าก็ไม่ยอมสวม จู่ๆ นางก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าชั่วอึดใจเดียวก็ถลามาถึงหน้าประตูแล้ว พอกระชากประตูเปิดออกก็ทำให้บ่าวไพร่ที่เฝ้าอยู่ข้างนอกสะดุ้งตกใจ
สี่เชวี่ยติดตามอยู่ข้างกายอวิ๋นจ้าวมาตั้งแต่เล็ก จึงขาดความสำรวมระวังระหว่างนายบ่าวไปหลายส่วน ตอนนี้นางอดต่อว่าไม่ได้ “คุณหนู ท่านสะเพร่าเลินเล่อเช่นนี้อยู่เรื่อย ประเดี๋ยวฮูหยินก็ดุท่านอีกหรอก ดูสิเจ้าคะ แม้แต่รองเท้าก็ไม่ได้สวมหรือนี่!”
สี่เชวี่ยหน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน ทั้งผลักทั้งเกลี้ยกล่อมให้คุณหนูกลับเข้าห้อง ทั้งยังรีบหาผ้ามาห่อเท้าให้
อวิ๋นจ้าวมองสี่เชวี่ยที่ยังไม่ได้สวมชุดไว้ทุกข์ เหลือบมองระเบียงทางเดินข้างนอกก็ไม่เห็นว่ามีผ้าแพรสีขาวห้อยประดับ นางนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ คว้าไหล่สี่เชวี่ยไว้แล้วเอ่ยถามว่า “ข้าอายุเท่าไร”
สี่เชวี่ยหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เห็นคุณหนูมีท่าทีจริงจังจึงตอบว่า “ท่านอายุสิบสี่แล้วเจ้าค่ะ! เหลืออีกเดือนเดียวก็จะปักปิ่น สามารถเกล้ามวยผมสวยๆ ได้แล้ว”
อวิ๋นจ้าวรู้สึกเหมือนลิ้นจุกปาก “แล้ว…แล้ววันนี้วันที่เท่าไร เดือนอะไร”
สี่เชวี่ยคิดว่านางควรไปเชิญท่านหมอเฉิงมาตรวจอาการคุณหนูสักหน่อยแล้ว ไม่สิ ท่านหมอเฉิงมีธุระออกไปข้างนอก ตอนนี้เขาไม่อยู่ในคฤหาสน์ พอได้สติกลับมาก็ตอบว่า “ตอนนี้ผ่านยามจื่อ* ไปแล้ว วันนี้ก็เป็นวันที่แปดเดือนสิบสองแล้วเจ้าค่ะ”
พอกล่าวจบก็เห็นคุณหนูของตนมีสีหน้าตะลึงงันราวกับคนไร้วิญญาณก็ไม่ปาน จึงเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดแปลกไป เตรียมลุกขึ้นจะไปแจ้งฮูหยิน ไม่คิดว่าจะได้ยินอวิ๋นจ้าวหัวเราะเสียงดังกังวาน เป็นเสียงหัวเราะที่ดังออกมาเต็มปอด สี่เชวี่ยไม่เคยได้ยินนางหัวเราะเช่นนี้จึงตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“คุณหนู ท่านอย่าทำให้ข้าตกใจสิเจ้าคะ”
อวิ๋นจ้าวกลับระงับความยินดีครั้งใหญ่นี้เอาไว้ไม่อยู่ เพราะนางเข้าใจกระจ่างเรื่องหนึ่ง
…นางย้อนกลับมาสิบปีก่อนอีกครั้งแล้ว! วันที่แปดเดือนสิบสองเมื่อสิบปีก่อน!