ระหว่างที่เดินครุ่นคิดอยู่นั้น นางกำลังเดินจากถนนใหญ่เข้าตรอกแห่งหนึ่ง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนเรียก
“แม่นางอวิ๋น”
อวิ๋นจ้าวเหลียวมองตามเสียง ชายหนุ่มอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปียืนห่างออกไปครึ่งจั้ง ใบหน้าแสดงความรู้สึกเหลือเชื่ออย่างชัดเจน ราวกับว่าการปรากฏตัวของนางน่าประหลาดใจเป็นที่สุด
แน่นอนนางรู้ว่าเขาประหลาดใจเรื่องอะไร
“คุณชายซ่ง”
ซ่งโหย่วเฉิงเดินมาข้างหน้าอีกหลายก้าว เอ่ยถามว่า “เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่ได้เล่า หรือว่า…เจ้าอยากจะไปหาพี่ลู่?”
“ใช่ ข้าจะไปหาเขา”
น้ำเสียงของนางสงบเยือกเย็น ยิ่งทำให้ซ่งโหย่วเฉิงรู้สึกผิดแปลก เขาสังเกตท่าทางของนางอยู่หลายรอบ “ไม่กี่วันก่อนเจ้ายังบอกเขาว่าต้องการตัดขาดเยื่อใยไมตรีกับเขาอยู่เลย เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเขากอดสตรีนางอื่น”
อวิ๋นจ้าวไม่ได้ลืม แม้ยามนั้นนางจะโกรธลู่อู๋เซิงจนไม่อยากจะเห็นหน้าเขาอีก แต่ไม่ใช่เพราะวันนั้นเห็นเขาโอบกอดสตรีท่าทางฉอเลาะนางหนึ่งเดินมาด้วยกัน ตอนนั้นนางยังคิดว่าเขาจะต้องมีเหตุผลอะไรแน่ พอจะไปสอบถามเขา เขากลับไม่อยู่บ้าน นางจึงส่งจดหมายไปนัดพบฉบับหนึ่ง ทว่าเขากลับตอบจดหมายมาว่าไม่อยากพบ โดยไม่มีคำอธิบายอะไรเลยแม้แต่น้อย
แต่พอนางใคร่ครวญจากเหตุการณ์เมื่อ ‘ไม่กี่วันก่อน’ ลู่อู๋เซิงหาใช่คนแล้งน้ำใจ ระหว่างนางและเขาจะต้องมีเรื่องที่เข้าใจผิดกันแน่ นางจึงยินดีจะฟังเขาอธิบาย วันนี้ถึงได้มาพบเขาที่บ้าน
ไม่คิดว่าเพิ่งจะมาถึงที่นี่ก็ได้พบซ่งโหย่วเฉิง สหายสนิทร่วมสำนักของลู่อู๋เซิงโดยบังเอิญ ซึ่งเขาเป็นคนส่งจดหมาย และนำจดหมายตอบกลับมาให้นางในวันนั้นเอง
ซ่งโหย่วเฉิงกล่าวว่า “วันนี้พี่ลู่ไม่อยู่ ข้าเพิ่งไปที่จวนสกุลลู่มา เขาจะออกไปข้างนอกพอดี”
อวิ๋นจ้าวนิ่งเงียบไป เงยหน้ามองเขา หากเป็นเมื่อก่อนนางจะต้องเชื่อเขาแน่นอน แต่เมื่อนางนับนิ้วคำนวณเวลาดูแล้ว เทียบกับคราวก่อนที่นางกลับมา ยามนี้ยังเร็วกว่าเดิมถึงหนึ่งเค่อ เวลานั้นต่างหากที่ลู่อู๋เซิงจะออกจากบ้าน ฉะนั้น…เพราะเหตุใดซ่งโหย่วเฉิงถึงต้องหลอกนางด้วย
“เพิ่งจะออกไปสินะ เช่นนั้นวันอื่นข้าค่อยมาใหม่” อวิ๋นจ้าวเดินไปได้สองสามก้าวก็หยุดฝีเท้าแล้วหันกลับมา “แต่คุณชายซ่งไม่ใช่เพิ่งเดินมาจากทางตะวันออกเฉียงใต้หรือ ดูเหมือนกำลังไปที่จวนสกุลลู่เช่นกันใช่หรือไม่”
ซ่งโหย่วเฉิงหัวเราะเบาๆ “เดิมทีเดินจากไปแล้ว แต่เห็นเจ้าเดินมาทางนี้ ข้าก็เลยตามมาด้วย จริงสิ วันนี้อากาศแจ่มใสนัก ได้ยินว่าหอไป่เป่าเพิ่มรายชื่ออาหารชนิดใหม่ ไม่สู้ไปลิ้มลองดูสักหน่อย ข้าไม่ลืมหรอกนะว่า การลิ้มลองชาและอาหารเลิศรสเป็นหนึ่งในความชอบของเจ้า”
อวิ๋นจ้าวรู้สึกประหลาดใจอย่างมากที่ซ่งโหย่วเฉิงพยายาม ‘ขัดขวาง’ ไม่ให้นางกับลู่อู๋เซิงพบหน้ากันถึงเพียงนี้ จึงตัดสินใจไม่ไปหาลู่อู๋เซิงแล้ว วันเวลายังอีกยาวไกล นางไม่จำเป็นต้องรีบร้อน
นางกับซ่งโหย่วเฉิงเพิ่งจะเดินจากไป ประตูใหญ่จวนสกุลลู่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดก่อนจะแง้มเปิด มีชายหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี ใบหน้าหล่อเหลาคมคายผู้หนึ่งเดินออกมา
เด็กรับใช้คนหนึ่งวิ่งตามออกมาจากข้างใน เหลียวซ้ายแลขวาแล้วหันกลับไปกล่าวว่า “คุณชาย รถม้ายังไม่มาเลยขอรับ ข้าจะไปเร่งที่คอกม้าให้เอง นับวันดูจะเหลวไหลขึ้นทุกทีแล้ว”
ลู่อู๋เซิงยืนนิ่งเอาสองมือไพล่หลัง สายตาจ้องมองไปที่ตรอกฝั่งตรงข้าม
ปรากฏว่ายังไม่เห็นเงาของนางอย่างที่คาดไว้ สาวน้อยที่ชอบมาเกาะกำแพงอยู่ตรงนั้นประจำ
ดวงอาทิตย์สว่างเจิดจ้า สายลมหนาวโชยพัดมาเบาๆ ทำให้เงาร่างที่ทอดยาวบนพื้นสั่นไหว ราวกับเผยให้เห็นได้ถึงความเศร้าโศกอยู่หลายส่วน
“คุณชาย รถม้ามาแล้ว”
ลู่อู๋เซิงหลุดจากภวังค์ พยักหน้ารับรู้ “ไปวัดวั่นซาน พบใต้เท้าลิ่น”