บทที่ 4
วัดวั่นซานตั้งอยู่บนเขาสูงอยู่ห่างจากเมืองหลวงออกไปสี่ลี้ ภูเขาลูกนี้สูงร่วมร้อยจั้ง วัดตั้งอยู่ตรงกึ่งกลาง มีหมอกสีขาวปกคลุมตลอดทั้งปี ประดุจมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครอง และเนื่องจากที่นี่ทุกคำอธิษฐานล้วนเป็นจริงสมดังหวัง ฉะนั้นควันธูปบนกระถางสามขาจึงไม่เคยจางหาย ควันจากธูปเปรียบได้กับหมอกสีขาวที่โอบล้อมภูเขาเลยทีเดียว
อวิ๋นจ้าวไม่ชอบเดินขึ้นเขา นางมักจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยยิ่ง เมื่อก่อนเคยเดินขึ้นเขามาครั้งหนึ่ง พอเดินไปจนถึงยอดสูง ทอดสายตามองแนวเทือกเขา ได้ชมอาทิตย์ยามเช้าแล้ว ในใจกลับไร้ความรู้สึกใด รับรู้เพียงแค่ว่าแขนขาสี่ข้างล้วนอ่อนล้า พอคิดถึงเส้นทางลงเขาก็หมดอารมณ์จะชื่นชม มีแต่ความหงุดหงิดรำคาญใจ
หลังจากนั้นมานางก็ไม่ไปปีนเขาสูงอีก ไม่ขัดเกลา หรือบ่มเพาะคุณธรรมอะไรทั้งสิ้น
พอเดินมาได้แค่ครึ่งทาง นางก็ร้องบอกว่าเหนื่อยแล้ว นึกเสียใจนักที่มาที่นี่ ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ายังคงสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ด้วยคิดว่าการมาไหว้พระต้องมีความตั้งใจจริงจึงไม่ได้สั่งให้หยุด พอเห็นว่าหลานสาวทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ก็เอ่ยว่า “เจ้าเดินช้าหน่อยเถอะ ไม่ทำให้เสียเรื่องหรอกนะ”
อวิ๋นจ้าวอยากจะกลิ้งลงเขากลับบ้านไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราว แต่เมื่อท่านย่ากล่าวเช่นนี้ นางก็ฝืนผงกศีรษะรับปาก ได้แต่พาสี่เชวี่ยแยกตัวออกมา มองตาปริบๆ ดูพวกท่านย่าเดินล่วงหน้าไปก่อน ส่วนนางก็เดินไปอย่างเชื่องช้าราวกับวัวตัวหนึ่ง
เดินไปได้อีกสิบกว่าขั้น ระหว่างที่อวิ๋นจ้าวกำลังหายใจหอบก็นึกขึ้นได้เรื่องหนึ่งจึงกล่าวว่า “สี่เชวี่ย ต่อไปนี้หากข้าไม่ได้สั่งอะไร เจ้าก็ห้ามเอาเรื่องของข้าไปบอกใคร ต่อให้เป็นท่านย่า ท่านพ่อท่านแม่ก็ไม่ได้ ได้ยินหรือไม่”
สี่เชวี่ยไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณหนูของตนถึงเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้ ก่อนที่นางจะตกใจจนยกมือมาปิดปากไว้ “คุณหนู ข้าจะไม่บอกเรื่องของท่านกับใคร และไม่กล้าบอกด้วย เป็นเพราะว่าใครปากพล่อยบอกว่าข้านำเรื่องของท่านไปพูดหรือ”
อวิ๋นจ้าวปรายตามองสี่เชวี่ย หากไม่ใช่เพราะนางปากไวใน ‘หนก่อน’ ท่านย่าของนางก็คงไม่ต้องผูกคอตาย กระทั่งบีบให้นางต้องย้อนกลับมาอยู่ในวันล่าปาซ้ำอีกรอบเช่นนี้ แม้ว่าสี่เชวี่ยจะไม่ได้เจตนา แต่เพื่อเลี่ยงไม่ให้วันหน้าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก นางต้องเตือนเอาไว้สักหน่อย
นางไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ย้อนกลับไปอีกสักกี่ครั้ง แต่ในเมื่อเห็นว่าคอกแพะเสียหายจึงรีบซ่อมแซม*อย่างทันท่วงที จะได้ไม่เกิดเรื่องขึ้นมาได้อีก
“ไม่มีใครปากพล่อยหรอก เจ้าจำเอาไว้ก็พอแล้ว”
แม้ในใจสี่เชวี่ยจะมีข้อสงสัย แต่ก็ยังรับปากอย่างแข็งขัน
อวิ๋นจ้าวสั่งกำชับเรื่องนี้แล้วค่อยรู้สึกว่าจิตใจที่ว้าวุ่นมาหลายวันเริ่มสงบลงได้สักที นางยกชายกระโปรงก้าวเดินต่อไป เพียงแค่ผ่อนฝีเท้าช้าลงเท่านั้น
“คุณหนู” สี่เชวี่ยเงยหน้ามองขึ้นไปข้างบน “นั่นคุณชายลู่ใช่หรือไม่เจ้าคะ เช่นนั้นพวกเราก็เดินช้าลงอีกหน่อย จะได้ไม่ต้องพบหน้ากัน”
สี่เชวี่ยเอาใจใส่คิดแทนคุณหนูของตน แต่ไม่คาดคิดว่าพออวิ๋นจ้าวเห็นลู่อู๋เซิง ดวงตาสองข้างจะเปล่งประกายวาววับ เดิมทีความเร็วในการเดินที่มิต่างจากหนอนคืบคลาน จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นรวดเร็วดุจนกโผทะยาน ก้าวพรวดขึ้นบันไดไปสองขั้นในคราวเดียว สี่เชวี่ยเห็นเข้าก็แทบจะเป็นลม เร่งติดตามไปด้วยความเขินอายและร้อนใจ “คุณหนู! คุณหนู! ช้าลงหน่อยเจ้าค่ะ! ก้าวช้าๆ หน่อย!”
อวิ๋นจ้าวมีหรือจะได้ยิน นางวิ่งหน้าตั้งขึ้นไปข้างบนแล้ว