จังหวะฝีเท้าของลู่อู๋เซิงไม่ได้เร็วนัก เขาเพิ่งจะเอ่ยทักทายฮูหยินผู้เฒ่า ด้วยรู้ดีว่าอวิ๋นจ้าวไม่ชอบเดินขึ้นเขา จึงไม่คิดว่านางจะตามมาด้วย ทว่าตอนนี้กลับมีเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยลอยมาให้ได้ยิน หัวใจพลันสั่นไหว หันกลับไปมองจึงเห็นนางจับชายกระโปรงเดินปรี่ตรงมา การเคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับขี่เมฆเหาะมาอย่างไรอย่างนั้น
ไม่พบหน้ากันหลายวัน นางดูสดชื่นแจ่มใสเหมือนเช่นวันวาน เขาอดลูบใบหน้าตนเองไม่ได้ ก่อนจะพบว่าผอมลงเล็กน้อย
สาวน้อยใจร้ายผู้นี้ ไมตรีที่มีต่อกันเนิ่นนานกว่าสิบปี เพียงแค่บอกว่าตัดก็ตัดได้ บอกว่าวางก็วางได้ แล้วอีกประเดี๋ยวก็ดูร่าเริงขึ้นมา กระทั่งความเศร้าเสียใจยังไม่หลงเหลืออยู่เลย
เขาไม่ขยับเขยื้อนไปที่ใด ยืนขวางอยู่กลางทางมองดูนาง หากนางเดินขึ้นมาโดยไม่มองทางเป็นต้องชนเขาแน่ อย่างน้อยเขาจะได้มีข้ออ้างคุยกับนางสักสองสามประโยค ทว่าขอแค่เปิดปาก เกรงว่านางคงต่อว่าเขาก่อนแล้ว คงบอกว่าเขาผอมแห้งเกินไป กระดูกปูดโปนชนนางจนเจ็บไปหมด
นางไม่ใช่คนเอาแต่ใจไร้เหตุผลเช่นนี้หรอกหรือ
ขั้นบันไดทอดตัวยาวเหยียด ผู้คนแน่นขนัดอยู่ทั้งสองข้างทาง ต่างเดินสวนกันไปมา สตรีที่สวมเสื้อคลุมกันลมสีแดงนางนั้นวิ่งฝ่าผู้คนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เสียงฝีเท้าดังชัดเจนเป็นพิเศษ เวลานี้ลู่อู๋เซิงเข้าใจแล้วว่าอะไรคือ ‘ท่ามกลางคนนับพันนับหมื่นมีเจ้าเพียงหนึ่งเดียวในใจ’ มีคนมากมายขนาดนั้นแล้วแท้ๆ ทว่าเขายังคงได้ยินเสียงฝีเท้านางได้ในทันที
เหลืออีกห้าก้าวนางก็จะเดินมาชนเขาแล้ว ลู่อู๋เซิงก็ยังไม่ขยับไปที่ใด จนกระทั่งขาดอีกแค่เพียงก้าวเดียวจู่ๆ นางก็หยุดฝีเท้า มีแต่กระแสลมวูบผ่าน ลู่อู๋เซิงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ขณะกำลังจะหลีกทางให้ นางก็เงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลัน “ลู่อู๋เซิง”
เขาชะงักไป มองนางที่หน้าผากมีหยาดเหงื่อไหลซึม เกือบจะยกมือเช็ดให้อยู่แล้ว เขาพยักหน้า “อืม”
หลังจากใกล้ชิดกันอีกครั้งเมื่อ ‘ไม่กี่วันก่อน’ อวิ๋นจ้าวก็ไม่มีท่าทีอึดอัดใจแล้ว น้ำเสียงจริงจังเอ่ยว่า “ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่าน”
ลู่อู๋เซิงรู้สึกแปลกใจอย่างที่สุด ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงเปลี่ยนนิสัยไปอย่างกะทันหัน “เจ้าว่ามาสิ”
“ข้า…”
“อวิ๋นเอ๋อร์” เมื่อครู่นี้ฮูหยินผู้เฒ่าพบลู่อู๋เซิง ยังหวาดหวั่นเหมือนหัวใจแขวนอยู่บนเส้นด้าย กลัวว่าหลานสาวจะเห็นหน้าเขา พอหันหน้ากลับมามอง เห็นตอนนี้ทั้งสองคนพบหน้ากันตรงๆ จิตใจยิ่งตึงเครียด กลัวว่าหลานสาวจะอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นางจึงรีบหันขวับกลับมา
นางเดินอย่างรีบร้อน กระทั่งหวุดหวิดจะล้มลง อวิ๋นจ้าวจึงตรงเข้าประคองฮูหยินผู้เฒ่าด้วยความตกใจ พลางหันไปถลึงตาใส่พวกบ่าวไพร่ที่ยืนอึ้งอยู่ “ทำไมไม่ประคองท่านย่าไว้ หากท่านย่าล้มไปจะทำอย่างไร”
พวกบ่าวพากันเข้ามาประคอง ฮูหยินผู้เฒ่ากลับโบกมือปฏิเสธ “นิสัยขี้โมโหของเจ้านี่ต้องเปลี่ยนเสียหน่อยแล้ว”
“ไม่เปลี่ยนหรอกเจ้าค่ะ มีส่วนใดต้องเปลี่ยนกัน” อวิ๋นจ้าวพึมพำคำหนึ่ง แล้วก็หันไปมองลู่อู๋เซิงโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ จนกระทั่งขณะที่จะเดินผ่านไป ถึงขยับเข้าไปใกล้พลางกระซิบบอกว่า “ไปวัดแล้วค่อยคุยกัน”
เส้นผมยาวสลวยของสาวน้อยหลุดร่วงปลิวไสวตามแรงลม ปัดผ่านลำคอขาวหมดจดของชายหนุ่ม ยั่วเย้าจนเขารู้สึกคันคอยุบยิบ เขาเหลียวหน้ามองตามไปช้าๆ กลิ่นหอมรวยรินเฉพาะตัวของนางยังเจือจางอยู่ในสายลมหนาว มองเห็นเพียงเงาร่างอรชร
เด็กรับใช้เห็นเขามีสีหน้าตะลึงงัน ในใจแอบคิดแทนนายว่าช่างไม่คุ้มค่าเสียเลย “คุณหนูอวิ๋นเห็นคุณชายเป็นอะไร ชมชอบก็เข้าหา รังเกียจก็ละทิ้ง ก่อนหน้านี้เพิ่งส่งจดหมายตัดสัมพันธ์มาให้ท่านเองแท้ๆ ตอนนี้ยังจะมาพูดจากระซิบกระซาบกับท่านอีก…”
“อาฉาง”
น้ำเสียงเย็นเยียบดุจน้ำแข็งหิมะโปรย ทำให้ใบหน้าอาฉางพลันแข็งค้าง เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เงยหน้ามองคุณชายของตนก็เห็นว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าเรียบนิ่งเฉยชา แข้งขาจึงอ่อนปวกเปียกอย่างห้ามไม่อยู่ เขายกมือชิงตบหน้าตนเองหนึ่งฉาด
“วันนี้เจ้าไม่ต้องติดตามข้าแล้ว ยืนรับลมภูเขาอยู่ตรงนี้ไปแล้วกัน”
อาฉางรู้สึกขมขื่นเกินบรรยาย ได้แต่ยืนมองดูคุณชายเดินจากไปอย่างสงบเสงี่ยม สายลมหนาวเหน็บสะท้านกาย เขากอดเสื้อคลุมตัวใหญ่แน่นพลางครุ่นคิดว่า คุณหนูอวิ๋นสมกับเป็นนางปีศาจอย่างแท้จริง สามารถคว้าหัวใจคุณชายไปได้โดยสมบูรณ์แล้ว