บทที่ 7
อวิ๋นจ้าวรู้ดีว่าสำหรับลู่อู๋เซิงแล้ว ไม่มีทางที่การทรยศของซ่งโหย่วเฉิงจะไม่สร้างระลอกคลื่นในใจเขา แต่หากลู่อู๋เซิงแสดงออกมาให้เห็นว่าเขาเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ เกรงว่าซ่งโหย่วเฉิงคงจะยิ่งเบิกบานใจเสียมากกว่า
สุดท้ายลู่อู๋เซิงถึงได้บอกไปว่า ‘เจ้าไม่คู่ควร’
ประโยคนี้เองที่ทำให้อวิ๋นจ้าวรู้สึกว่าลู่อู๋เซิงจัดการกับซ่งโหย่วเฉิงได้เด็ดขาดเสียยิ่งกว่าแผนการของนางมากมายนัก
คนที่นางชอบดูเหมือนจะเป็นจิ้งจอกตัวหนึ่ง ทั้งยังเป็นจิ้งจอกที่หล่อเหลาสง่างามเกินใคร
ยามนี้ซ่งโหย่วเฉิงไม่มีเรี่ยวแรงจะไปโมโหเดือดดาลแล้ว เขากลับยิ่งรู้สึกว่าตนเองถูกตราหน้าว่าเป็นคนถ่อยไร้ยางอาย ไม่ใช่สิ ก็เขานี่แหละที่เป็นคนถ่อยไร้ยางอาย
เดิมทีเขาก็เทียบกับลู่อู๋เซิงที่เป็นถึงบุตรชายท่านแม่ทัพใหญ่ไม่ได้อยู่แล้ว ทั้งไม่มีอะไรให้ไปเทียบได้เลย ดังนั้นอวิ๋นจ้าวถึงได้ไม่ชอบเขา
ที่สุดแล้วก็เป็นเพราะสวรรค์เมตตาส่งให้ลู่อู๋เซิงมาเกิดในครรภ์ของฮูหยินท่านแม่ทัพ ขณะที่เขาก็เป็นได้แค่บุตรชายของพ่อค้า
เขาไม่มีอะไรเทียบได้เลย ไม่มี…
ลู่อู๋เซิงไม่อยากเห็นท่าทางที่ไร้วิญญาณของซ่งโหย่วเฉิงอีก ในเมื่อความจริงเปิดเผยกระจ่างชัดแล้ว เขาก็ไม่อยากอยู่ที่นี่กับซ่งโหย่วเฉิงอีกสักชั่วขณะเดียว
อวิ๋นจ้าวเห็นลู่อู๋เซิงมีท่าทีจะจากไปแล้ว นางก็ลุกขึ้นเดินตามเขาออกไปด้วย พอใกล้จะถึงประตู นางจึงหันกลับมาบอกว่า “ซ่งโหย่วเฉิง ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปสกุลอวิ๋นจะเลิกทำการค้ากับสกุลซ่งของเจ้า พวกเราจะไม่ซื้อโถเครื่องเคลือบและถ้วยจานชามจากพวกเจ้าอีก ปลาจากตลาดปลาก็ด้วย พวกเราไม่ต้องการอีกแล้ว”
ยามนี้ซ่งโหย่วเฉิงถึงได้สติกลับคืนมา เขาเบิกตากว้างเอ่ยว่า “อวิ๋นจ้าว เจ้าจะบีบคั้นสกุลซ่งให้ถึงตายเลยหรือ”
อวิ๋นจ้าวย่นหัวคิ้วเล็กน้อย “ข้าจะบีบคั้นพวกเจ้าถึงตายได้อย่างไร นี่เป็นกรรมที่เจ้าก่อขึ้นเอง หรือมีแต่เจ้าที่ลอบแทงข้างหลังผู้อื่นได้ แต่ไม่ยอมให้ข้าชักดาบแทงเจ้าซึ่งหน้า? อีกอย่างแต่ละสกุลที่ทำการค้าก็มีการไปมาหาสู่กันอยู่แล้ว ร้านนี้ไม่ได้ก็ยังมีอีกร้านหนึ่ง อย่างไรเจ้าก็ยังหาลูกค้ารายอื่นได้มิใช่หรือ ข้าไม่ได้บอกให้ท่านพ่อร่วมมือกับท่านลุงท่านอาคนอื่นตัดทางรอดสกุลซ่งเสียหน่อย นับว่ามีเมตตาช่วยเหลืออย่างที่สุดแล้ว”
จู่ๆ ซ่งโหย่วเฉิงก็หัวเราะเสียงดังแล้วกล่าวว่า “พวกเราสกุลซ่งยังมีการค้าอะไรให้ทำอีกเล่า ยามนี้ก็เหลือแค่ทำการค้ากับสกุลอวิ๋นของเจ้าแล้ว! วันนี้เจ้าเลิกทำการค้ากับเรา นี่ยังไม่นับว่าเป็นการบีบคั้นสกุลซ่งจนถึงที่ตายอีกหรือ”
อวิ๋นจ้าวขมวดคิ้วอีกครั้ง “หมายความว่าอย่างไร”
แม้ซ่งโหย่วเฉิงจะไม่อยากเอ่ยถึงเท่าไรนัก แต่ก็กลัวว่าอวิ๋นจ้าวจะตัดสินใจทำอย่างที่พูดจริงๆ เขาจึงยอมเล่าว่า “ท่านพ่อข้าติดการพนัน ยามนี้ในบ้านไม่มีเงินทองเหลืออยู่แล้ว โฉนดบ้านและโฉนดที่นาก็ไม่เหลือ มีเพียงกิจการสองอย่างนี้ประคองไว้เท่านั้น”
อวิ๋นจ้าวรู้สึกประหลาดใจอยู่หลายส่วน
ซ่งโหย่วเฉิงเห็นทางรอดของตนเองจากสีหน้าของนาง เขาจึงเอ่ยว่า “ข้าขอร้องเถอะ เห็นแก่ความสัมพันธ์ของพวกเราในอดีตที่ผ่านมา อย่าได้ตัดทางรอดของข้าเลย”
สาเหตุที่อวิ๋นจ้าวประหลาดใจหาใช่เพราะสกุลซ่งเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น แต่เป็นเพราะนางเคยสงสัยว่า คนร้ายบนวัดวั่นซานใช่ซ่งโหย่วเฉิงว่าจ้างมาหรือไม่ ทว่ายามนี้นางมั่นใจแล้วว่าไม่ใช่ เพราะสกุลซ่งขาดแคลนเงินทอง กระทั่งโฉนดที่ดินที่พอมีค่าอยู่ก็ไม่เหลือแล้ว
มือสังหารพวกนั้นต้องใช้ค่าจ้างไม่น้อย หากไม่มีเงินก้อนใหญ่จะว่าจ้างมาได้อย่างไร นอกจากนี้คนผู้นั้นยังต้องมีความกล้ามากพอที่จะสังหารบุตรชายท่านแม่ทัพใหญ่ เกรงว่าคนธรรมดาคงไม่มีความกล้าถึงเพียงนั้นแน่