นางปกป้องมือของตนเองอย่างระมัดระวัง ตั้งใจว่าพรุ่งนี้ก่อนจะไปพบลู่อู๋เซิง นางต้องเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เรียบร้อยเสียก่อน มิฉะนั้นหากเขามาเห็นเข้าจะต้องปวดใจมากแน่
“หลีกไป! หลีกไป!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเอะอะลอยมาจากที่ไกลๆ คล้ายว่ามีคนกำลังพุ่งตรงมาทางนี้ ผู้คนพากันร้องตกใจแล้วรีบกระโดดหลบเข้าสองข้างทาง ไม่นานอวิ๋นจ้าวก็เห็นว่ามีคนรีบร้อนวิ่งมา วิ่งไปก็เหลือบมองด้านหลังไปด้วย อวิ๋นจ้าวชะโงกศีรษะดู มองไปทางด้านหลังของคนผู้นั้น คนที่วิ่งไล่ตามมาอย่างไม่ลดละถึงกับเป็นสตรีรูปร่างอรชรผู้หนึ่ง
ดวงหน้าของนางอ่อนเยาว์ ดูแล้วน่าจะอายุประมาณสิบห้าสิบหกปี กำลังยกกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งไล่ตามคนข้างหน้าโดยไม่สนใจสายตาคนรอบข้างแม้แต่น้อย คิ้วเรียวสีดำสนิทขมวดน้อยๆ ท่าทางทั้งไม่ตื่นตระหนกและไม่หวาดกลัว มองดูแล้วกลับมีสง่าราศีเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา อวิ๋นจ้าวเหลือบมองแวบหนึ่งก็รู้แล้วว่าคนที่วิ่งนำหน้ามาคงโชคร้ายแน่
ระยะห่างเกือบจะเหลือเพียงสิบก้าว บุรุษผู้นั้นใกล้จะชนอวิ๋นจ้าวที่ยังไม่หลบให้พ้นทาง เดิมทีอวิ๋นจ้าวก็ไม่คิดมากอะไร ทว่าจู่ๆ เขากลับตะโกนด้วยสีหน้าดุร้ายถมึงทึงว่า “หญิงหน้าเหม็น ไสหัวไป!”
คิ้วของอวิ๋นจ้าวเลิกขึ้นสูงทันใด ปรายตามองถุงเงินสีชมพูอ่อนที่เขากำไว้ในมือ เห็นชัดเจนว่ามิใช่ของเจ้าตัว นางเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อยเพื่อหลีกทางให้ บุรุษผู้นั้นเผยสีหน้ายินดี แต่เมื่อเขาจะวิ่งผ่านไปนั้น ฝ่าเท้ากลับโดนอะไรไม่รู้เกี่ยวพันไว้ ร่างกายจึงพุ่งไปราวลูกธนูหลุดออกจากสาย ล้มกระแทกพื้นไปอย่างหนักหน่วง
เดิมทีสตรีนางนั้นก็วิ่งเร็วนัก พริบตาเดียวก็วิ่งมาถึงเบื้องหน้าอวิ๋นจ้าว ก้าวเท้าออกไปข้างหนึ่ง เหยียบศีรษะบุรุษที่ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดเอาไว้ ก่อนจะก้มลงไปคว้าถุงเงินกลับมา ออกแรงเหยียบที่หลังอีกครั้งหนึ่งจึงค่อยชักเท้ากลับ แล้วเดินไปทางอวิ๋นจ้าว
ทว่าสาวน้อยที่ยื่นเท้าไปขัดขาหัวขโมยเมื่อครู่นั้น ยามนี้กลับนั่งยองอยู่กับพื้น หัวไหล่สองข้างสั่นเทา นางจึงนั่งยองถามว่า “เจ้าเป็นอะไร”
อวิ๋นจ้าวกุมข้อเท้าข้างที่เกือบโดนบุรุษผู้นั้นเตะหักเอาไว้ เงยหน้าขึ้นในสภาพเนื้อตัวสั่นเทา เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างยิ่งว่า “เจ้าช่วยจ่ายค่ายาให้ข้าได้หรือไม่”
“…”
หากสวรรค์ให้โอกาสอวิ๋นจ้าวเลือกใหม่ ว่าตอนนั้นจะยื่นขาออกไปหรือไม่ยื่นขา นางจะต้องเลือกอย่างหลังแน่
บุรุษผู้นั้นมีรูปร่างสูงใหญ่บึกบึน ทั้งยังวิ่งมาอย่างรวดเร็ว แรงปะทะจึงหนักหน่วงยิ่งนัก หวิดจะเตะข้อเท้าอวิ๋นจ้าวจนหัก แม้ยามนี้ข้อเท้าจะไม่ได้หัก แต่ก็บวมฉึ่งมิต่างกับหัวไชเท้า นางเจ็บเจียนตายอยู่แล้ว
สี่เชวี่ยเปลี่ยนยาสมุนไพรให้นางสองครั้งแล้ว เมื่อครู่นี้เพิ่งจะทาลงไป ยังไม่ทันได้ออกแรงกดเสียด้วยซ้ำ ก็ได้ยินเสียงนางร้องคร่ำครวญ สี่เชวี่ยทั้งหงุดหงิดทั้งร้อนใจ “ท่านเป็นเจ้านายที่หาเรื่องตลอดเวลาเลยนะเจ้าคะ”
“ห้ามพูดต่อนะ ข้าเป็นได้ดุด่าคนแน่”
สี่เชวี่ยถอนหายใจ “ท่านยังมีอารมณ์มาดุด่าข้าอีก? รออีกประเดี๋ยวนายท่านก็คงมาดุด่าท่านแล้ว”