ลู่อู๋เซิงไม่ได้เปิดโปงนาง เขากลัวว่าหากทำเช่นนั้นแล้ว นางคงโมโหจนถึงขั้นคว่ำเรือได้แน่ “คราวก่อนเจ้าบอกข้าไม่ใช่หรือว่าคนในครอบครัวสี่เชวี่ยบีบให้นางแต่งงาน แต่ถูกเจ้าขัดขวางเอาไว้ ไม่กี่วันมานี้ครอบครัวอาฉางก็เร่งให้เขาหาสะใภ้สักคนเช่นกัน หากพวกเขายินดี ข้าก็พอเป็นคนกลางให้ได้ พวกเขาเป็นสาวใช้และเด็กรับใช้ของพวกเรา ทั้งสองฝ่ายย่อมรู้จักและเข้าใจกันดี เจ้ากับข้าจะได้วางใจ”
อวิ๋นจ้าวเข้าใจกระจ่าง “ก็จริงอยู่ ไว้ข้าจะกลับไปถามสี่เชวี่ยว่ายินดีหรือไม่ ท่านเองก็กลับไปถามอาฉาง หากเป็นไปได้ พวกเราก็เป็นคนตัดสินใจเรื่องการแต่งงานให้พวกเขาเสียเลย”
เรือลอยมาถึงกลางทะเลสาบ สองฟากฝั่งบนยอดเขามีดอกล่าเหมยบานสะพรั่ง ราวกับแต่งแต้มด้วยหิมะขาว มองเห็นได้เลือนราง ทว่ากลิ่นหอมกลับโชยมาชัดเจนยิ่ง ลู่อู๋เซิงเห็นนางมองดูอย่างตื่นตาตื่นใจ เมื่อเห็นนางละสายตากลับมา เขาจึงเอ่ยว่า “ก่อนวันสิ้นปีท่านพ่อข้าคงกลับมาถึง อวิ๋นอวิ๋น เรื่องแต่งงานของพวกเราก็พูดคุยให้เรียบร้อยเถอะ”
อวิ๋นจ้าวที่ความคิดล่องลอยไปไกลรีบหันขวับกลับมาทันที เพราะนางนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ลู่อู๋เซิง ข้ามีเรื่องจะบอกท่าน อาจจะฟังดูเหลวไหล แต่นี่เป็นเรื่องจริงแน่นอน”
ลู่อู๋เซิงเห็นอวิ๋นจ้าวมีสีหน้าเหม่อลอยก็รู้ว่านางคงไม่ได้ยิน เขาอยากจะดึงตัวนางมานั่งตรงหน้าคุยกันให้รู้เรื่องยิ่งนัก “เจ้าว่ามาสิ”
“ระยะนี้ท่านออกไปที่ใดก็ต้องระวังตัวด้วย ทางที่ดีมีองครักษ์ติดตามให้มากหน่อย อย่าเอาแต่ออกไปข้างนอก อยู่ในบ้านบ้างก็ดี”
ลู่อู๋เซิงมองนางอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะแสร้งทำท่าเข้าใจขึ้นมากะทันหัน “อวิ๋นอวิ๋น เมื่อคืนนี้เจ้านับนิ้วดูดวงชะตา ทำนายได้ว่าระยะนี้การเดินทางของข้าไม่ราบรื่นใช่หรือไม่”
อวิ๋นจ้าวแทบอยากจะกระโดดขึ้นมาทุบตีเขาสักรอบหนึ่ง นางคว้ามือของเขาเอาไว้แล้วเอ่ยว่า “ข้าพูดเรื่องจริงนะ ท่านเชื่อข้าสิ อย่าออกไปไหนบ่อยนัก มีองครักษ์ติดตามให้มากหน่อย”
เมื่อคืนนางคิดทบทวนอย่างละเอียด ลู่อู๋เซิงเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณ เกรงว่าคงจะไม่เชื่อเรื่องพวกนี้แน่ ถึงตอนนั้นนอกจากเขาไม่เชื่อแล้ว ยังจะรู้สึกว่านางป่วยด้วย ซึ่งนางคงระวังภัยร้ายรอบตัวเขาได้ยากขึ้น ฉะนั้นนางจึงตัดสินใจว่าจะยังไม่บอกเขา
ลู่อู๋เซิงรู้สึกว่าน้อยครั้งที่จะเห็นอวิ๋นจ้าวดูจริงจังเช่นนี้ เขาจึงออกปากรับคำแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว”
อวิ๋นจ้าวรู้ว่าเขาสังเกตเห็นนางแตกต่างจากเมื่อก่อน แต่นางทำได้เพียงแสร้งไม่รู้เรื่องราว เอามือกุมใบหน้าแล้วกล่าวว่า “รู้สึกว่าข้างดงามขึ้นมากจริงๆ ใช่หรือไม่”
ลู่อู๋เซิงถูกนางหยอกเย้าอีกครั้งก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ ทว่าอวิ๋นจ้าวยังคงเป็นอวิ๋นจ้าวอยู่แน่นอน ไม่ได้ถูกคนสลับเปลี่ยนตัว จะมีก็แค่บางสิ่งที่ไม่เหมือนเดิม
วันนี้มีคนมาล่องทะเลสาบไม่น้อย มีเรือลำเล็กลอยผ่านไปอย่างอ้อยอิ่ง ทั้งยังมีเรือลำใหญ่หรูหราพร้อมด้วยเสียงดนตรีและการแสดงร้องรำ คอยสร้างความสำราญให้แก่เหล่าบัณฑิตได้ชื่นชม บ้างก็มีคนตกปลาจอดเรืออยู่ริมสองฝั่งของทะเลสาบ เรือลำที่อวิ๋นจ้าวนั่งอยู่ลอยไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า วันนี้ไม่มีทางล่องทะเลสาบได้ครบสามสิบลี้เป็นแน่
อวิ๋นจ้าวตั้งใจจะกลับไปกินอาหารกลางวันแล้ว ทว่าหัวเรือยังไม่ทันเลี้ยวกลับก็ได้ยินเสียงกังวานใสของสตรีลอยมา
“นี่ เจ้าชอบกินปลาหรือไม่”
ลู่อู๋เซิงหันไปมองทางนั้นก่อน มองไปไม่ไกลก็เห็นเรือลำเล็กจอดอยู่ริมฝั่ง บนเรือมีคนอยู่สามคน สองบุรุษหนึ่งสตรี คนหนึ่งเป็นคนพายเรือ คนหนึ่งเป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ และยังมีสาวน้อยคนหนึ่ง กำลังหันมาทางนี้กวักมือเรียกอวิ๋นจ้าว
“ข้าว่านางกำลังถามเจ้านะ”
อวิ๋นจ้าวมองไปทางนั้นแล้วส่ายหน้า “ข้าไม่รู้จัก” นางเอียงศีรษะครุ่นคิด “ไม่สิ ข้ารู้จัก เมื่อวานข้าช่วยนางจับขโมย”
ลู่อู๋เซิงหัวเราะแล้วถามว่า “ผ่านไปพบความไม่เป็นธรรมเข้า ก็เลยเป็นจอมยุทธ์หญิงเสียแล้ว?”
อวิ๋นจ้าวถามอย่างลำพองใจ “ยิ่งชอบข้ามากขึ้นแล้วใช่หรือไม่”
คราวนี้ลู่อู๋เซิงไม่หลบเลี่ยงอีก ตอบอย่างตรงไปตรงมา “ใช่ๆๆ ยิ่งชอบมากขึ้นแล้ว”
อวิ๋นจ้าวหลุดเสียงหัวเราะปานระฆังเงิน ลู่อู๋เซิงเห็นเช่นนี้ก็ยิ่งยินดี หางตาเหลือบเห็นเรือลำนั้นลอยเข้ามาใกล้ ถึงได้เห็นโฉมหน้าของสตรีนางนั้นชัดเจน เขาอดนิ่งงันไปไม่ได้ “สาวน้อยนางนั้น…”
อวิ๋นจ้าวเห็นเขามองอยู่หลายครั้งจึงเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่านางงดงามมาก แต่ท่านจะมองนางเช่นนี้ไม่ได้ ข้าเป็นได้คว่ำไหน้ำส้ม* แน่”
ลู่อู๋เซิงยังไม่ถอนสายตากลับมา กลับเอานิ้วลูบปลายจมูกของอวิ๋นจ้าว “นั่นคือบุตรสาวของใต้เท้าซือ”
“ซือ? ซือคนไหนกัน”
“ในราชสำนักมีใต้เท้าคนไหนสกุลซือบ้างเล่า”
ทันใดนั้นอวิ๋นจ้าวก็นึกขึ้นมาได้ ในสมองราวกับมีเสียงดอกไม้ไฟดังเปรี๊ยะปร๊ะอย่างฉับพลัน
สกุลซือเป็นสกุลที่พบเห็นได้น้อยมาก และที่เป็นขุนนางในราชสำนักก็มีอยู่แค่คนเดียว นั่นก็คือใต้เท้าซือผู้เป็นเสนาบดีกรมโยธา ซึ่งควบตำแหน่งผู้อันเชิญราชโองการแห่งสำนักราชบัณฑิต ใต้เท้าซือเป็นคนเถรตรงไม่เห็นแก่ใคร ทำสิ่งใดล้วนเฉียบขาด มีชื่อเสียงดีงามในราชสำนัก