ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน เบื่อนักโจ๊กล่าปา ข้าไม่ย้อนเวลาอีกได้ไหม บทที่ 7-บทที่ 8
ทว่าอวิ๋นจ้าวที่มาจากสิบปีข้างหน้ายังรู้อีกเรื่องหนึ่งด้วย ภายหลังที่ใต้เท้าซือรับตำแหน่งที่ปรึกษาราชกิจ มีผลงานโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ ปีถัดไปก็…รับตำแหน่งอัครเสนาบดี
หรือก็คือ…สตรีที่นางช่วยไว้โดยไม่ตั้งใจเมื่อวานนั้น เป็นบุตรสาวของว่าที่อัครเสนาบดี!
ขณะที่นางกำลังสับสนมึนงง เรือเล็กลำนั้นก็ลอยเข้ามาใกล้ ในสมองอวิ๋นจ้าวหมุนวนไปมานับร้อยนับพันครั้ง ด้วยนิสัยเช่นพ่อค้าทำให้นางตัดสินใจเรื่องหนึ่งได้ว่า…นางจะเป็นสหายกับบุตรสาวของว่าที่อัครเสนาบดี
เรือทั้งสองกระทบกันเบาๆ ผิวทะเลสาบกระเพื่อมกลายเป็นระลอกคลื่น ซือหลิงหลงก้มลงยกถังไม้ข้างกายขึ้นมา ส่งไปให้อวิ๋นจ้าว “ปลาน่ะ เพิ่งตกได้เมื่อครู่นี้เอง”
อวิ๋นจ้าวก็ไม่ปฏิเสธ นางยื่นมือไปรับไว้แล้วเอ่ยว่า “พวกเราสั่งอาหารที่หอสุราเชียนชิงไว้โต๊ะหนึ่ง หากเจ้าสะดวกก็มากินด้วยกันเถอะ”
“พวกเรา?” ซือหลิงหลงมีท่าทีใคร่ครวญเล็กน้อย ตอนนี้ถึงได้เหลือบมองข้างกายอวิ๋นจ้าว มองเห็นใบหน้าคนผู้นั้นชัดเจนแล้ว นางก็กล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “คุณชายลู่?”
ลู่อู๋เซิงประสานมือทักทายนาง “แม่นางซือ”
อวิ๋นจ้าวมองหน้าคนทั้งสอง “พวกเจ้ารู้จักกันหรือ”
เมื่อครู่นางคิดแค่ว่าลู่อู๋เซิงอาจเคยพบหน้าซือหลิงหลงในงานเลี้ยงของราชสำนัก นางจึงได้ยอมรับอย่างง่ายดาย แต่ไม่คิดว่าพวกเขาจะสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน ไม่ทราบเพราะเหตุใดจู่ๆ นางก็เกิดความอิจฉาขึ้นมาจางๆ
อย่างไรซือหลิงหลงก็มีทั้งชาติตระกูลและรูปโฉมงดงาม ไม่ว่ามองมุมไหนก็ล้วนดูเหมาะสมคู่ควรกับลู่อู๋เซิง เขาเป็นถึงบุตรชายแม่ทัพ พอมายืนเคียงคู่กับบุตรสาวพ่อค้าเช่นนาง คนที่บอกว่าไม่เหมาะสมต้องมีไม่น้อยกว่าสิบคนแน่
แม้กล่าวว่าปีนั้นเมื่อสกุลลู่ตกต่ำ สกุลอวิ๋นได้มอบเงินช่วยเหลือแม่ทัพลู่โดยไม่หวังผลตอบแทน จนเขาสอบเคอจวี่* ฝ่ายบู๊อย่างราบรื่น ทำให้แม่ทัพลู่มีโอกาสไต่เต้าจากขุนนางเล็กๆ จนเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ ทว่านั่นก็เป็นเรื่องในอดีต วันนี้ฐานะสกุลอวิ๋นไม่คู่ควรกับสกุลลู่อย่างแท้จริง
ซือหลิงหลงกล่าวว่า “ทุกปียามที่วังหลวงมีงานเลี้ยงก็จะเชิญขุนนางมาเข้าร่วมด้วย พวกเราก็เลยได้พบหน้ากัน อีกทั้งยามที่ใต้เท้าท่านไหนจัดงานมงคล พวกเราก็ยังได้พบกันแทบทุกครั้ง” พอกล่าวจบนางก็ยิ้มบางๆ “กินอาหารคงช้าไปแล้ว ไว้คราวหน้าเถิด คราวหน้าข้ากับเจ้าไปกันตามลำพัง”
อวิ๋นจ้าวเห็นแววตาของซือหลิงหลงกวาดมองร่างตนเองอยู่ตลอด ก็รู้ว่านางคงมองเห็นความนัยอื่นในแววตาของตนเอง ในเมื่อเป็นสตรีเช่นเดียวกัน อวิ๋นจ้าวจึงไม่แปลกใจที่นางจะคาดเดาได้ กล่าวได้ว่านางเฉลียวฉลาด หรือเป็นเพราะซือหลิงหลงก็มีคนที่ชอบอยู่แล้ว ฉะนั้นถึงได้มีความรู้สึกกับเรื่องพวกนี้ได้ชัดเจนเป็นพิเศษ
อวิ๋นจ้าวตั้งใจจะสานสัมพันธ์กับซือหลิงหลงอยู่แล้วจึงตอบว่า “เช่นนั้นพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”
ซือหลิงหลงเงยหน้ามองท้องฟ้า บุรุษข้างกายก็เงยหน้ามองก้อนเมฆบนฟ้าเช่นกัน แล้วก้มหน้าบอกว่า “พรุ่งนี้ท้องฟ้าแจ่มใส”
ตอนนี้เองซือหลิงหลงจึงตอบว่า “พวกเราเจอกันพรุ่งนี้”
พวกนางสองคนสรุปเวลานัดหมายกันแล้วต่างก็แยกย้ายกันกลับไป เรือที่อวิ๋นจ้าวนั่งใกล้จะถึงฝั่ง ลู่อู๋เซิงก็ถามขึ้นว่า “ในอดีตเจ้ามองว่าพวกกลุ่มขุนนางยุ่งยากวุ่นวาย ดังนั้นนอกจากคนที่ต้องไปมาหาสู่กันด้วยเรื่องการค้าแล้ว เจ้าจะไม่เข้าไปสานสัมพันธ์กับขุนนางอื่น แต่คราวนี้เจ้ากลับตั้งใจจะเป็นสหายกับแม่นางซือ”
อวิ๋นจ้าวไม่อยากปิดบังเป้าหมายของตนเองต่อหน้าเขา “ใช่ ข้าเดิมพันกับท่านดีหรือไม่ ต่อไปใต้เท้าซือจะได้เป็นอัครเสนาบดี”
ลู่อู๋เซิงหัวเราะ “วิญญาณผู้หยั่งรู้อนาคตประทับร่างแล้วหรือ” เขากล่าวจบแล้วถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ อวิ๋นจ้าวรู้ทันแผนการยุยงของซ่งโหย่วเฉิงได้อย่างไร
เขารู้สึกอยู่ตลอดว่าสตรีตรงหน้านี้ไม่เหมือนกับคนเดิม
อวิ๋นจ้าวรู้ว่าลู่อู๋เซิงกำลังสับสน กระนั้นนางก็ยังเก็บเรื่องหนึ่งเอาไว้ในใจโดยไม่เอ่ยออกมา นั่นคือเมื่อมีโอกาสได้เป็นสหายกับซือหลิงหลงแล้ว ในวันหน้าก็อาจจะได้รับความช่วยเหลือจากใต้เท้าซือ ซึ่งเป็นประโยชน์กับลู่อู๋เซิง
อาหารชั้นเลิศในหอสุราเชียนชิงยังคงรสชาติดีเยี่ยมเหมือนเช่นเคย อวิ๋นจ้าวกินอย่างสำราญใจยิ่ง เพราะหลังจากยามอู่ ลู่อู๋เซิงต้องไปพบอาจารย์ วันพรุ่งนี้ก็ยังต้องไปที่จวนว่าการเจ้าเมืองอีก อวิ๋นจ้าวจึงไม่ตอแยเขาอีกต่อไปเมื่อมาถึงปากตรอกคฤหาสน์สกุลอวิ๋น นางก็ถามถึงแผนการเดินทางของเขาช่วงสองสามวันนี้ ได้ยินว่าเป็นการทำงานราชการทั้งสิ้น นางถึงได้วางใจลง ต่อให้คนร้ายกลุ่มนั้นมีฝีมือมากแค่ไหน ก็คงไม่อาจบุกเข้าไปสังหารคนที่อยู่ในราชสำนักได้
นางกลับถึงบ้านก็เขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้สี่เชวี่ยไปส่งวั่นเสี่ยวเซิง บอกให้เขาช่วยสืบเรื่องของซือหลิงหลง ว่านางชื่นชอบอะไรบ้าง ขณะที่สี่เชวี่ยนำจดหมายออกไปนั้น ก็รู้สึกว่าเงินลอยหายไปอีกกองหนึ่ง จึงเจ็บปวดใจอยู่เป็นนาน
พอถึงช่วงค่ำวั่นเสี่ยวเซิงก็มาส่งจดหมายด้วยตนเอง สี่เชวี่ยยืนอยู่ที่ปากตรอกฝั่งหนึ่ง ยื่นถุงเงินให้เขา กล่าวอย่างปวดใจว่า “ข้าก็นับว่าเป็นคนรอบรู้เรื่องราวในเมืองหลวง คุณหนูมีอะไรเหตุใดถึงไม่ใช้ให้ข้าไปทำเล่า ปุ๋ยดีไม่ตกไปอยู่ที่นาของผู้อื่น* สิ”
วั่นเสี่ยวเซิงถูกยั่วเย้าให้ขบขันอยู่เป็นนานสองนาน เขาเก็บถุงเงินก่อนจะเอ่ยว่า “เสี่ยวสี่เชวี่ย ข้าก็ถือเป็นคนกันเองนะ ไม่เรียกว่าตกไปอยู่ที่นาของผู้อื่นหรอก”
“ท่านไม่ใช่สักหน่อย”
วั่นเสี่ยวเซิงดีดหน้าผากนางทีหนึ่ง “รีบกลับไปเถอะ อย่าปล่อยให้ร่างกายหนาวสั่น”
สี่เชวี่ยลูบหน้าผากป้อยๆ “ข้าไม่หนาวหรอก ท่านต่างหาก” นางลองจับชุดของเขา “นุ่นที่บุข้างในไม่เหลือแล้ว ท่านคงหนาวแทบแย่เลย ได้เงินจากคุณหนูของข้าไปก็มากมาย ขนาดเสื้อผ้ายังตัดใจซื้อไม่ได้อีกหรือ”
วั่นเสี่ยวเซิงกระชับเสื้อแน่นเข้า ปลายจมูกสัมผัสอากาศหนาวจนแดงก่ำ เขาเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ต้องเก็บเงินไว้แต่งภรรยา เอาล่ะ ข้าไปก่อนนะ”
สี่เชวี่ยหันไปแลบลิ้นใส่เขา มือถือจดหมายวิ่งกลับไปสกุลอวิ๋นอย่างรวดเร็ว
วั่นเสี่ยวเซิงเหลียวหลังไปมอง นางช่างเหมือนกับนกสี่เชวี่ยที่กำลังโผบินยิ่งนัก
(ติดตามต่อในเล่ม)