ลู่อู๋เซิงเห็นนางไม่พอใจก็เลยถามว่า “เจ้ายังกลัวว่าข้าจะขึ้นเขาไปพบสาวน้อยคนใดอีกใช่หรือไม่”
อวิ๋นจ้าวเลิกคิ้ว “กลัวสิ กลัวอยู่แล้ว”
ลู่อู๋เซิงมองตานางแล้วเอ่ยว่า “สาวน้อยที่ข้าอยากพบอยู่ตรงหน้านี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องขึ้นไปหาถึงบนเขาหรอก”
อวิ๋นจ้าวอารมณ์ดีขึ้นมาทันใด นางเอาสองมือไพล่หลัง “รอให้ข้าปักปิ่นก็ไม่ใช่สาวน้อยแล้ว”
ลู่อู๋เซิงก็คิดไปถึงวันที่นางปักปิ่นเช่นเดียวกัน หลายวันก่อนยังรู้สึกว่าเขาต้องแอบมองนางอยู่ไกลๆ อยู่เลย มาวันนี้เมื่อทุกอย่างกลับมาเป็นปกติแล้ว เขายังสัมผัสเพิ่มได้ว่า…แววตาของอวิ๋นจ้าวยามที่มองเขานั้นคล้ายจะลึกซึ้งและวาววับยิ่งกว่าเดิม
เหมือนนาง…อยากจะกินเขาอย่างไรอย่างนั้น
อวิ๋นจ้าวไม่รู้จะหาข้ออ้างใดมาห้ามไม่ให้เขาขึ้นเขาได้อีก ขณะเดียวกันก็ไม่อยากโมโหใส่เขา คิดอยู่ครู่หนึ่งนางจึงเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปกับท่านด้วย”
ลู่อู๋เซิงจึงถามว่า “เจ้ารังเกียจการเดินขึ้นเขาที่สุดมิใช่หรือ”
อวิ๋นจ้าวกลอกตาไปมา “ฮึ! ใครใช้ให้ข้าเดินขึ้นเขากับคนที่ข้าชอบเล่า เอาไว้ข้าเหนื่อยจนเดินไม่ไหวแล้ว ก็จะมีคนแบกข้าขึ้นหลังเอง”
ลู่อู๋เซิงหลุดหัวเราะ “ไม่แบก ข้าไม่ยอมแบกเจ้าแน่”
เดิมทีอวิ๋นจ้าวแค่เพียงพูดเล่นเท่านั้นจึงไม่คิดถือสา ขอเพียงเขายอมให้นางตามขึ้นเขาไปด้วย นางย่อมมีหนทางทำให้ลู่อู๋เซิงต้องหันหลังกลับกลางคันอยู่แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้เขาขึ้นเขาไปได้ พอคิดถึงเรื่อง ‘คราวก่อน’ นางก็รู้สึกหวาดกลัวจนหนาวสะท้าน
อวิ๋นจ้าวอยู่ใกล้กับลู่อู๋เซิงมาก อารมณ์ที่แสดงผ่านสีหน้าจึงตกอยู่ในสายตาของเขาทั้งหมด นางมีแววตาหวาดกลัว แต่ก็ยังไม่รู้ว่ากำลังหวาดกลัวเรื่องใด
แต่เห็นนางอยากขึ้นเขาเช่นนี้ก็ดีแล้ว พอเข้าไปในวัด จิตใจนางอาจสงบลงจนไม่เผยแววตาหวาดกลัวเช่นนั้นอีก
เนื่องจากเป็นหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี ทำให้ไม่สะดวกที่จะนั่งรถม้าคันเดียวกัน อีกทั้งลู่อู๋เซิงเห็นว่าใกล้จะเลยเวลานัดหมายแล้ว เขาจึงตัดสินใจเดินไปตามเส้นทางลัด เส้นทางนี้ไม่นับว่าเล็กหรือคับแคบเลย สามคนสามารถเดินเคียงกันได้สะดวก แต่รถม้าคันใหญ่จะไม่สามารถผ่านไปได้ ฉะนั้นการเดินทางลัดนี้จึงไม่มีรถม้าสัญจรผ่าน บรรยากาศเงียบสงบอย่างเห็นได้ชัด
อวิ๋นจ้าวไม่ได้พูดคุยกับเขาเช่นนี้นานแล้ว เสียงสนทนาดังเจื้อยแจ้วไปตลอดทาง นางยังรู้สึกด้วยซ้ำไปว่าตนเองกำลังแย่งชื่อสี่เชวี่ยมาใช้อยู่ เมื่อลอบสังเกตคนข้างกาย ก็ไม่เห็นเขาจะสีหน้าหงุดหงิดรำคาญแต่อย่างใด มีเพียงความยินดีเฉกเช่นที่ผ่านมา ทำให้จิตใจนางผ่อนคลายไม่น้อย มีแต่รู้สึกชอบเขามากขึ้นสามส่วน
“อีกครึ่งเค่อก็จะถึงเชิงเขาวัดวั่นซานแล้ว”
ทันทีที่เสียงเตือนนี้ดังขึ้น ก็ราวกับดึงอวิ๋นจ้าวออกจากภวังค์ความคิด นางเงยหน้ามองไปก็เห็นแนวเทือกเขาที่ตั้งของวัดวั่นซานแล้ว นางผ่อนฝีเท้าช้าลง เหลียวมองรอบด้านเพื่อจะหาโอกาสอันเหมาะสม ก่อนจะล้มหน้าคะมำลงพื้นไปอย่างสมจริงสมจัง
เนื่องจากกลัวว่าตนเองจะเผยพิรุธออกมา การล้มคะมำคราวนี้จึงแลดูครึ่งจริงครึ่งเท็จ แต่ก็เจ็บกระทั่งร้องเสียงดังขึ้นมา
ลู่อู๋เซิงไม่รู้ว่านางล้มลงไปได้อย่างไร เมื่อครู่จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีลมวูบผ่านไปจนเขาตั้งตัวไม่ทัน ตอนนี้จึงรีบนั่งยองลงประคองนางเอาไว้ กวาดตามองสำรวจบาดแผล “นอกจากคางแล้ว ยังเจ็บตรงที่ใดอีกบ้าง”
“อะไรนะ! ข้ามีแผลที่คางหรือ” อวิ๋นจ้าวตกใจอย่างมาก นางทำท่าจะยื่นมือไปลูบที่แผลก็ถูกเขาห้ามเอาไว้เสียก่อน
เดิมทีอวิ๋นจ้าวคิดแค่อยากจะล้มลงไปโดยไม่มีบาดแผลนี่
นางกล่าวอย่างเศร้าใจว่า “เสียโฉมแล้ว”
ลู่อู๋เซิงหลุดหัวเราะออกมา “แค่บาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก”
“น่าเกลียดหรือไม่”
“ไม่น่าเกลียด”
“ถ้าเกิดมีรอยแผลเป็นจะทำเช่นไรดี ท่านแม่บอกว่าข้าโตแล้ว มีแผลเป็นจะหายยากยิ่งนัก”
ลู่อู๋เซิงไม่ได้มองใบหน้าอวิ๋นจ้าว เขามัวแต่ตั้งใจเป่าเม็ดทรายเปื้อนเลือดบนฝ่ามือของนาง เอ่ยตอบว่า “อืม”
อวิ๋นจ้าวถลึงตาใส่ “อืม?! หมายความว่าอะไร”