ลู่อู๋เซิงยังคงช่วยนางเป่าเม็ดทรายอยู่เช่นเดิม พอจัดการมือข้างหนึ่งเรียบร้อยแล้วก็ยกมืออีกข้างของนางขึ้นมาดู เนื่องจากมือขวาใช้ยันพื้นก่อนที่จะล้มลงพื้น บาดแผลจึงหนักกว่ามือซ้ายอยู่บ้าง หลังจากเป่าเม็ดทรายออกไปหมดแล้ว ลู่อู๋เซิงจึงหยิบยาที่พกติดตัวออกมา บอกกับนางว่า “ผงยานี้จะทำให้เจ้าเจ็บแผล เจ้าอดทนสักหน่อยนะ”
พอกล่าวจบก็โรยผงยาลงบนบาดแผล อวิ๋นจ้าวที่รอเขาตอบกลับรู้สึกเจ็บจนดวงตามีประกายดาววิบวับ แผลบ้างช้ำเขียวบ้างช้ำม่วง “โอ๊ย! โอ๊ย! เจ็บชะมัด!”
ถึงบาดแผลจะใส่ยาได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่ได้ล้างให้สะอาด ลู่อู๋เซิงจึงยังไม่พันแผลให้นาง เขาถามขึ้นว่า “ยังเจ็บตรงไหนอีกบ้าง”
“ไม่แล้ว” อวิ๋นจ้าวนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ รีบกลับคำอย่างกะทันหัน “ยังมีนะ ข้าข้อเท้าแพลง”
เป็นอย่างที่คิดไว้ ลู่อู๋เซิงรีบตรวจดูข้อเท้าของนางทันที
อย่างไรเขาก็เกิดมาในจวนแม่ทัพ เพียงแค่เอามือคลำข้อเท้าก็ตอบได้ว่า “ไม่ได้แพลงหรอก เจ้าลองลุกขึ้นเดินดูสิ”
อวิ๋นจ้าวย่อมรู้ดีว่าข้อเท้าตนเองไม่ได้แพลง แต่นางมีหรือจะล่วงรู้ว่าต่อให้ตนจะสวมถุงเท้าไว้เช่นนี้ เพียงแค่ลู่อู๋เซิงคลำก็จะรู้แล้ว มิฉะนั้นนางคงแสร้งร้องโวยวายด้วยความเจ็บปวดแล้ว ทว่าตอนนี้ย่อมสายไป กระนั้นนางก็ยังต้องฝืนทำหน้าหนาต่อไป “ข้อเท้าแพลงจริงๆ นะ”
ลู่อู๋เซิงยิ้มพลางเอ่ยปลอบโยน “ไม่หรอก อวิ๋นอวิ๋น เจ้าอย่าหลอกให้ตนเองตกใจสิ ลุกขึ้นมาเดินดูก่อน”
อวิ๋นจ้าวพูดยืนยันด้วยความหงุดหงิด “นี่เป็นเท้าข้านะ มันแพลงจริงๆ ทั้งยังเจ็บมากด้วย เจ็บจะตายอยู่แล้ว”
ลู่อู๋เซิงมองนางอย่างจนใจ สาวน้อยเอาแต่ใจขึ้นมาอีกแล้ว เกรงว่าคงจะเกลี้ยกล่อมไม่สำเร็จ เขามองดูท่าทางโกรธเคืองของนาง แต่เพิ่งจะประสานสายตากัน นางก็พยายามหลบเลี่ยง
เขาขบคิดในใจ หรือว่า… ลู่อู๋เซิงยิ้มออกมา
อวิ๋นจ้าวยังแสร้งทำเป็นโกรธ “ท่านยิ้มอะไร”
“ข้าแบกเจ้ากลับไปเอง”
อวิ๋นจ้าวหูผึ่ง “ท่านต้องไปที่วัดวั่นซานไม่ใช่หรือ ท่านไปเถอะ ข้าจะรออยู่ตรงนี้ นั่งบนพื้นรอท่านนี่แหละ”
ประโยคก่อนหน้ายังฟังพอดูมีเหตุมีผล แต่ประโยคหลังกลับประกาศชัดเจนว่า ‘ท่านไปสิ ท่านไปเลย ถ้ากล้าทิ้งให้ข้านั่งรอบนพื้นเช่นนี้ทั้งวันก็ไปเลย’ ลู่อู๋เซิงลูบศีรษะนางแล้วเอ่ยว่า “อวิ๋นอวิ๋น เจ้ากำลังโกรธที่ข้าบอกว่าจะไม่ยอมแบกเจ้า ก็เลยจงใจหาทางให้ข้าแบกใช่หรือไม่”
“แน่นอนว่าไม่ใช่”
“ข้าเข้าใจ แต่วันนี้ข้ามีนัดกับผู้อื่น จำเป็นต้องไปวัดวั่นซาน” ลู่อู๋เซิงลูบผมของนางต่อไป พร้อมกล่าวคำหวาน “ไม่ว่าเมื่อไรข้าก็แบกเจ้าได้ทั้งนั้น ฉะนั้นไม่ต้องแสร้งว่าข้อเท้าแพลงหรอก ดูสิ มือเจ้าเป็นแผลหมดแล้ว”
อวิ๋นจ้าวนิ่งฟังคำหวานที่เขาแทบจะไม่เคยเอ่ยออกมา นางร้อนใจจนอยากร้องไห้ นี่! ลู่อู๋เซิง นางไม่ใช่คนไร้เหตุผลหรอกนะ แล้วก็ไม่ได้คิดมากที่เมื่อครู่เขาบอกว่าจะไม่ยอมแบกนางด้วย
“ข้าจะพาเจ้าไปทำแผลให้เรียบร้อยก่อน หลังจากนั้นค่อยไปวัดวั่นซาน มา ข้าแบกเจ้าเอง”
อวิ๋นจ้าวที่ขโมยไก่ไม่ได้ซ้ำยังเสียข้าวสาร* จวนเจียนจะเป็นลมไปอยู่แล้ว
นี่! เชื่อนางสิ! นางแค่ไม่อยากให้เขาขึ้นเขาไปเท่านั้น!
หากไม่ใช่เพราะอวิ๋นจ้าวอยากขัดขวางไม่ให้ลู่อู๋เซิงไปวัดวั่นซานล่ะก็ อวิ๋นจ้าวก็ไม่อยากให้เขาคาดเดาไปว่านางกำลังหงุดหงิดที่เขาไม่ยอมแบกขึ้นหลัง ถึงได้ทำตัวเอาแต่ใจเช่นนี้
ขณะที่หมอบฟุบอยู่บนแผ่นหลังของเขา ความคิดของนางพลันสับสนวุ่นวาย หากบอกไปตามตรงว่าบนเขามีพวกคนชั่วจะทำร้ายเขา เขาจะเชื่อนางหรือไม่เล่า
นางเองยังเคยคิดจะบอกเขาเรื่องที่นางมาจากสิบปีข้างหน้าเลย แต่กลัวว่าเขาจะมองนางเป็นคนเสียสติไปเสียก่อน
เรื่องนี้กระทั่งนางก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลย ไม่ต้องไปกล่าวถึงผู้อื่นเลยสักนิด
บางทีนางยังรู้สึกว่าตนเองกำลังฝันไป ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องจริงเสียด้วยซ้ำ
ระหว่างที่ขบคิด อวิ๋นจ้าวก็หยิกแก้มของตนเองด้วยความเคยชิน เจ็บ…มันเป็นความจริง
อวิ๋นจ้าวลอบถอนหายใจเบาๆ แต่จู่ๆ ร่างของตนเองก็เกือบจะลื่นไถลตกลงมาจากแผ่นหลังของลู่อู๋เซิง นางจึงพยายามปีนกลับขึ้นไปข้างบน แต่พอปีนกลับไปที่เดิมแล้วก็สัมผัสได้ว่าร่างกายของเขาแข็งเกร็ง นางถึงนึกขึ้นมาได้ว่าร่างกายตอนอายุสิบสี่แม้ไม่อาจเทียบกับสิบปีข้างหน้าได้ กระนั้นพวกทรวงอกก็นูนเด่นขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นชุดที่ทั้งสองคนสวมใส่ก็หนาถึงเพียงนี้ ลู่อู๋เซิงคงไม่รู้สึกถึงอะไรมากนักกระมัง
อวิ๋นจ้าวหมอบอยู่บนแผ่นหลังเขาอย่างสงบเสงี่ยมโดยไม่กล้าขยับตัวส่งเดชอีก ด้วยเกรงว่าจะทำให้เขาอึดอัด
เดิมทีบุรุษก็มักจะมีความคิดวาบหวามกับสตรีที่พึงใจเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ไม่ต่างอะไรกับนางยามที่มองลู่อู๋เซิงแล้วคิดเรื่องเหลวไหลหน้าไม่อายพรรค์นั้น
อ๊ะ ไม่สิ ยิ่งคิดยิ่งถลำลึกไปทุกทีแล้ว