หญิงสาวรีบก้มหน้าหลบสายตา ย่อตัวลงเก็บของที่กองระเนระนาด ขณะที่ขาเธอสั่นจนแทบจะล้มลงไปกองกับข้าวของนั่นอยู่รอมร่อ นับเป็นการเผชิญหน้ากันแบบจังๆ ครั้งแรก ที่ผ่านมาเธอได้แต่มองพิชญ์ผ่านช่องว่างระหว่างผู้คนที่ยืนล้อมรอบตัวเขาในระยะไกลไม่ต่ำกว่าสิบเมตร แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเธอก็ไม่ได้ปรารถนาจะมาพบเขาในสถานการณ์แบบนี้เลย
มันไม่โอเคเอามากๆ
“คุณโอเคมั้ย”
เสียงทุ้มดังขึ้น พัฒน์นรีรับรู้ว่าเขาย่อตัวลงมาช่วยเธอเก็บของ แต่ความประหม่ารุนแรงทำให้เธอรวบเอาข้าวของทั้งหมดมาไว้ในวงแขนตัวเองก่อนที่เขาจะหยิบชิ้นใดชิ้นหนึ่งขึ้นมาถือได้ทัน
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันโอเค”
ร่างบางลุกพรวดขึ้นแล้วขยับถอยออกจากคนที่กำลังยืดตัวลุกขึ้น เธอเหลือบตามองเขาแวบเดียวก็รีบหลบสายตาวูบก่อนจะเบี่ยงตัวเดินเร็วๆ เข้าไปในลิฟต์
ในวินาทีที่ประตูกำลังจะปิดลง พัฒน์นรีได้เห็นว่าเขายังมองมาที่เธอด้วยแววตายากจะคาดเดา แน่ล่ะ เขาต้องสงสัยพฤติกรรมลนลานมีพิรุธของเธอแน่ๆ ก็ใครจะไม่สติแตกได้ไหว นั่นมันพิชญ์ บริพัตรเมธานนท์ตัวเป็นๆ เชียวนะ
เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง
จริงสิ คอนโดฯ นี้เป็นหนึ่งในโครงการนับร้อยของมารีรินทร์กรุ๊ป เธอเองก็ได้รับสวัสดิการบริษัทถึงซื้อได้ในราคาที่ถูกกว่าราคาขายตั้งสองแสน เขาเป็นผู้บริหารจะมาเดินเพ่นพ่านดูกิจการของตัวเองบ้างคงไม่แปลกอะไร
แต่ที่แปลกก็คงจะเป็นชุดที่เขาสวมนั่นแหละที่ดูสบายๆ จนผิดหูผิดตา เจ้านายเธอมักจะสวมสูทสีเข้มดูเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ครั้งนี้จึงนับว่าเป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นเขาในแบบที่ดูเรียบง่ายในชุดเสื้อยืดแขนสั้นสีครามเข้ากับกางเกงขาเดฟสีน้ำเงินเข้ม ซ้ำผมที่เคยถูกเซ็ตเรียบเป็นทรงอย่างดีทุกครั้งก็ร่วงลงมาปรกที่หน้าผาก ดูผิดไปจากพิชญ์คนที่เธอพบทุกวัน วันละห้าวินาทีตอนที่เขาเดินผ่านหน้าห้องแผนก
…แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ดูหล่อมากอยู่ดี
พัฒน์นรีปล่อยลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มองเงาตัวเองที่สะท้อนจากกระจกในลิฟต์ ใบหน้าโซมเหงื่อ ผมเผ้ารวบเก็บแบบง่ายๆ สวมเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้น
สภาพเธอกับสภาพของพิชญ์หลังเลิกงานช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว นี่อย่างไรเล่าเธอถึงไม่อยากให้เขาจำเธอได้ ถึงแม้ว่าเธอไม่ได้มีความหมายอะไรกับเขา เป็นแค่พนักงานคนหนึ่งที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร แต่อย่างน้อยก็ไม่อยากให้เขาจำเธอได้ด้วยภาพอะไรที่เป็นแบบนี้เลย
กว่าจะเรียกขวัญที่กระเจิงหายไปให้กลับมาได้ก็เมื่อมีสายเรียกเข้าดังขึ้นในอีกยี่สิบนาทีต่อมา
“ว่าไงลี่”
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าอีกฝ่ายโทรมาด้วยความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถมาช่วยเธอขนของได้ในวันนี้เพราะติดธุระสำคัญกับที่บ้าน เป็นวันเกิดของหลานชายคนที่สอง
พัฒน์นรีเห็นด้วยที่เพื่อนจะไปร่วมงานฉลองกับทางครอบครัว เพราะถ้าเป็นเธอ เธอก็ต้องเลือกทางนั้นเช่นกัน
“เก็บของเสร็จหรือยัง เป็นไงบ้าง”
พัฒน์นรียิ้มให้กับน้ำเสียงเป็นกังวลของเพื่อน เหมยลี่เป็นสาวร่างเล็ก ผมสั้นประบ่า ใบหน้าสวยพอประมาณ มีเค้าความหมวยที่แสดงเชื้อชาติของต้นตระกูลอย่างชัดเจน แต่อันที่จริงแค่ชื่อก็ชัดแล้วว่าเป็นลูกหลานตระกูลมีแซ่ จิตใจดี ยิ้มง่าย หัวเราะเก่ง ถ้าเทียบกับเพื่อนฝูงในที่ทำงาน เหมยลี่เป็นคนที่เธอสนิทมากที่สุด
“เรียบร้อย แต่ยังไม่ได้จัดอะไรเลย แกไม่ต้องเป็นห่วง เพราะพวกของชิ้นใหญ่ๆ ฉันจ้างบริษัทขนเสร็จสรรพ ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าพรุ่งนี้สายๆ ร้านจะมาส่งพร้อมยกขึ้นมาให้เหมือนกัน สบายมาก”
“เหรอ เออ ฉันขอโทษนะที่ไม่ได้ไปช่วยเลย”
“แกขอโทษฉันล้านครั้งแล้วนะ จะขอโทษอีกเหรอ”
“โธ่! ก็แกเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวในเมืองใหญ่ ฉันก็ต้องเป็นห่วงสิ”
นี่ก็เป็นการตอกย้ำครั้งที่ล้านด้วยเช่นกัน จากที่พัฒน์นรีไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนเรื่องความโสดของตัวเอง พอคนรอบข้างย้ำมากๆ เข้า เธอก็เริ่มจะเดือดร้อนนิดๆ แล้วเหมือนกัน