การประชุมยืดเยื้อมาจนถึงเวลาพักรับประทานอาหารกลางวัน พัฒน์นรีอ่านวาระการประชุมในไอแพดอีกรอบเพื่อทบทวนเนื้องาน แม้ว่ามารีรินทร์จะเป็นห้างสรรพสินค้าอันดับหนึ่งของเมืองไทยชนิดที่อันดับสองตามหลังห่างอยู่หลายขุม กระนั้นแผนกพัฒนาธุรกิจก็ยังสำคัญมากอยู่ดี
‘เพราะการย่ำอยู่กับที่เท่ากับตาย’
นั่นเป็นประโยคแรกที่ทำให้เธอตกหลุมรักรองประธานบริษัทผู้สูงส่ง ใครต่างก็มองว่าเธอโรคจิต ไม่ก็เป็นพวกมาโซคิสต์ถึงได้ตกหลุมรักผู้ชายด้วยคำพูดที่น่ากลัวแบบนั้น
เพราะคำพูดนั้นไม่ต่างจากคำพูดของแม่ทัพยามนำกองทัพออกสู้กับข้าศึก เพราะอะไรน่ะหรือ สู้ก็ตายไม่สู้ก็ตายอย่างไรล่ะ คนที่ยอมอุทิศตัวเพื่อบริษัทอย่างที่พิชญ์คาดหวังเห็นจะมีแค่วริษฐ์ ซึ่งตอนนี้ยังไม่ตาย…แต่บาดเจ็บสาหัส
ถึงจะเป็นเช่นนั้นพัฒน์นรีก็ไม่เคยคิดว่าพิชญ์น่ากลัวเลย เพราะหากเจ้านายเป็นเขา เธอก็จะยอมตายถวายชีวิตให้เหมือนกัน
คิดบ้าอะไรอีกแล้วเนี่ย
ขณะที่กำลังเพ้อฝันไปหลุดโลก ร่างระหงของหญิงสาวผู้หนึ่งก็เดินผ่านหน้าเธอไปพร้อมตรึงสายตาเธอไว้ได้ในทันที ใบหน้าสวยหวานอย่างสาวไทย ผิวขาวนวล ร่างกลมกลึงสมส่วน ผมยาวถึงกลางหลังดัดเป็นลอนหลวมๆ ออร่าเจิดจรัสแสบตา
“นั่นมันคุณพริ้มเพรานี่” นลินรัตน์ผู้รู้ทุกสรรพสิ่งบนโลกกล่าวทำลายความสงสัยของคนอื่นๆ
พัฒน์นรีแทบจะทำไอแพดร่วงจากมือเสียให้ได้
“ว่าที่คู่หมั้นปรากฏตัวแบบนี้ สงสัยข่าวลือที่ว่าจะเป็นจริง”
เมื่อความตกตะลึงจางหายไป พัฒน์นรีก็คลี่ยิ้มออกมา ว่าที่คู่หมั้นของท่านรองฯ สวยเหมาะสมมากจริงๆ แบบนี้ค่อยเสียใจน้อยหน่อย
เพราะมีผู้หญิงระดับนั้นอยู่บนโลก เธอถึงต้องพลัดพรากจากพิชญ์แบบนี้
เหล้าที่เหลือจากงานเลี้ยงเมื่อกลางปีถูกเปิดในคืนก่อนวันหยุดสุดสัปดาห์
งานเลี้ยงฉลองขึ้นบ้านใหม่ในแบบของแก๊งป้าข้างบ้านแห่งแผนกพัฒนาธุรกิจก็ไม่ต่างอะไรกับการเปิดวงสนทนาเรื่องชาวบ้านอย่างยิ่งใหญ่อลังการ
หลังจากเม้าท์จนไถลไปเรื่องชาวบ้านเลยไปถึงเรื่องหมาแมวแถวออฟฟิศจนไม่มีเรื่องอะไรจะคุยแล้ว ทุกคนก็วกกลับมาที่เรื่องของสาวงามซึ่งปรากฏตัวเมื่อวันก่อน
“ตระกูลปัถมธาดานี่ไม่ธรรมดานะ เขาว่ากันว่าต้นตระกูลนี้มีเชื้อสายมาจากในรั้วในวัง เป็นผู้รากมากดี ตอนแรกฉันก็นึกภาพไม่ออกหรอกว่าไอ้ผู้รากมากดีนี่มันเป็นยังไง จนกระทั่งได้เจอคุณพริ้มเพราวันนั้น แกเอ๊ย! เหมือนหลุดออกมาจากละครเรื่องปริศนาอะไรเทือกนั้น” นลินรัตน์ยังคงครองอัตราส่วนการพูดมากที่สุดเหมือนเดิม และทุกคนก็ยินยอมให้เธอพูด เพราะเจ้าหล่อนมีความสามารถในการบรรยายได้อย่างออกรสออกชาติ
“จริง สวยมากด้วย ถ้าบอกว่าเป็นดาราก็เชื่อ” อินทิราเสริม แต่มิวายหันมามองเอฟซีท่านรองฯ อย่างพัฒน์นรี อีกฝ่ายคงเริ่มกรึ่มๆ จึงยิ้มใส่เพื่อนตาหวานฉ่ำ
“มองฉันทำไม”
“ก็อยากรู้ว่าคนบางคนที่แอบชอบเขาแบบไม่หวังครอบครองจะมีเงาริษยาในดวงตาหรือเปล่า”
“แล้วมีมั้ย” พัฒน์นรีถลึงตาให้อินทิรามองชัดๆ
“ไม่เห็นมี”
“ก็ใช่ไง ในบริษัทของเรามีผู้หญิงตั้งหลายคนที่คลั่งท่านรองฯ ขณะเดียวกันฉันก็เชื่อว่าไม่มีใครสักคนกล้าคิดว่าสักวันตัวเองจะโชคดีได้เป็นภรรยาของเขา คนระดับเขาก็ต้องคบกับคนระดับเดียวกันสิ อย่างคุณพริ้มเพรานั่นเรียกว่าโคตรเหมาะสมเลย” พัฒน์นรีทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้ มองเพดานว่างเปล่าด้วยแววตาไร้ความหมายใด “มันก็น่าอิจฉาจริงๆ นั่นแหละ”
อีกสี่สาวพยักหน้าเห็นด้วยกับที่พัฒน์นรีพูด หลังจากนั้นทุกคนก็เหมือนตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง
“ผู้หญิงธรรมดาไม่มีสิทธิ์เลยหรือไง” เหมยลี่พูดไปเรื่อยเปื่อย บ่งบอกว่าที่ดื่มไปเริ่มออกฤทธิ์แล้ว
“ก็เพราะว่าผู้หญิงธรรมดามันธรรมดาไปไงยะ” พี่คนโตแสดงความเห็น น้ำเสียงชักจะรวนฟังดูอ้อแอ้เต็มที “ดูไม่มีความพยายาม”
“ก็มันง่ายกว่านี่” พัฒน์นรีพูดออกมาบ้าง เพราะเธอมีส่วนกับเรื่องนี้มากที่สุดในฐานะไปหลงรักผู้ชายไม่ธรรมดา “เกิดมาเป็นเด็กธรรมดา พอโตมาก็ได้เป็นผู้หญิงธรรมดาเลย ไม่ต้องพยายามอะไร”
“ใช่! อย่างคุณพริ้มเพรานั่นต้องลำบากแน่ เพราะไม่มีอะไรในตัวเธอที่ธรรมดาเลย” เหมยลี่เสริม
“นั่นแหละที่ฉันจะบอก” แวววารียกแก้วขึ้นดื่มอึกใหญ่ แต่ไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นโทรศัพท์ของหล่อนก็แผดเสียงขึ้น ทุกคนต่างรู้ดีว่าเสียงเรียกเข้าอันน่ารำคาญนี้มีแค่คนเดียวที่โทรมา
“ผัวพี่โทรมา” แวววารียักคิ้วหนึ่งที
พัฒน์นรีกลอกตามองแวววารีแล้วกลับมาถอนหายใจกับตัวเอง
บางทีเราควรทบทวนเรื่องมีสามีบ้างแล้วกระมัง คงจะดีถ้าหากว่าโลกนี้มีผู้ชายอย่างพิชญ์สองคน แต่ขอเป็นพิชญ์อีกคนที่ธรรมดากว่าเขาคนนี้ ให้มีหวังมากพอที่จะเอื้อมไปถึง