“แก้ม หัวหน้าเรียกให้ไปพบที่ห้องประชุม mr2”
พัฒน์นรีเงยหน้าขึ้นมองผู้ส่งสารเหมือนไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ได้ยินคืออะไร
“ว่าไงนะ”
“หัวหน้าเรียกไปพบที่ห้องประชุม mr2” หญิงสาวย้ำอีกครั้ง หัวคิ้วเคลื่อนมาชนกันเพราะมั่นใจว่าตัวเองพูดชัดแล้ว แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี “หัวหน้าจิรวัฒน์ไงล่ะ เรียกให้ไปพบ เดี๋ยวนี้เลยนะ”
พูดแค่นั้นเธอก็เดินกลับไปนั่งโต๊ะ พัฒน์นรีมองตามอย่างงงๆ จิรวัฒน์ไม่เคยเรียกใครไปพบเป็นการส่วนตัวแบบนั้น เว้นแต่ว่าบุคคลผู้นั้นไปทำอะไรผิดมา
ซึ่งพัฒน์นรีมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด เธอไม่เคยมาสาย แต่งกายเรียบร้อย งานก็เสร็จตรงเวลา
จะมีก็แต่เรื่องเดียวที่เป็นเหมือนชะนักติดหลัง นั่นคือการคลั่งพิชญ์เหมือนคนบ้า แต่ก็แค่บางครั้งเท่านั้น ไม่ได้ออกนอกหน้านอกตาจนน่าเกลียดเสียหน่อย
มัวแต่คิดไปเองก็ไม่มีประโยชน์
พัฒน์นรีลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปยังห้องประชุม mr2 เธอเคาะประตูแล้วเปิดเข้าไปทันทีโดยไม่คาดคิดว่าภาพที่เห็นจะทำให้เธอช็อกจนหน้าซีด หญิงสาวรีบขยับขาถอยหลังโดยอัตโนมัติแล้วชะโงกมองเลขห้องอีกครั้งว่าตนเข้าห้องผิดหรือเปล่า
“จะไปไหนคุณแก้ม รีบเข้ามาสิครับ” จิรวัฒน์เรียกอย่างร้อนรนพลางมองคนที่นั่งหัวโต๊ะด้วยความเกรงใจ
พัฒน์นรีได้ยินเสียงเรียกกอปรกับเห็นแล้วว่าตัวเลขไม่ผิดแน่จึงค่อยๆ ก้าวกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง เมื่อปิดประตูอย่างแผ่วเบาเรียบร้อยแล้วจึงหันกลับมายกมือไหว้ทุกคนในที่นั้น ด้วยความที่ไม่ได้เตรียมใจมาก่อนว่าจะต้องพบกับคนมากมายขนาดนี้เธอจึงออกอาการประหม่า ร้ายไปกว่านั้นหัวใจเธอยังร่วงหายไปเมื่อเห็นว่าคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเป็นใคร
พิชญ์มีสีหน้าเรียบเฉยดังปกติ เขาเหลือบตามองคนเพิ่งมาถึงเพียงครู่เดียว พัฒน์นรีเห็นแค่สายตาของเขาเคลื่อนจากเธอไปยังจิรวัฒน์ นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรขยับเขยื้อนเลย แม้แต่กระดาษบนโต๊ะก็ไม่กระดิกสักนิดเดียว
“คนนี้เองเหรอ หัวหน้าจิรวัฒน์”
แม้ว่าเขาไม่ได้มองเธอ แต่พัฒน์นรีก็รับรู้ได้ถึงน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความผิดหวังเล็กๆ แต่เพราะว่ายังไม่เข้าใจอะไรมากพอ เธอจึงได้แต่ทำหน้างง ปล่อยให้จิรวัฒน์ตอบคำถาม
ในระหว่างที่จิรวัฒน์พยายามจะอธิบาย พัฒน์นรีก็มีโอกาสได้สังเกตว่านอกจากพิชญ์ กรรมการสี่ฝ่าย หัวหน้าฝ่ายบุคคล และจิรวัฒน์แล้ว ยังมีคนอื่นที่เธอไม่ค่อยคุ้นหน้านั่งอยู่ด้วยอีกหกคน หนึ่งคนเป็นหญิง อีกห้าคนเป็นชาย แต่ละคนอายุไม่น่าจะเกินสามสิบห้าปีโดยประมาณ
“ที่แผนกพัฒนาธุรกิจก็มีพัฒน์นรีนี่แหละครับเหมาะสมที่สุด ท่านรองฯ ลองสัมภาษณ์เธอดูก่อนเถอะครับ”
พัฒน์นรีหันมามองจิรวัฒน์เมื่อได้ยินชื่อตัวเอง เขาบอกว่าเธอ ‘เหมาะสม’ หมายถึงอะไรกันแน่
พิชญ์พยักหน้าแล้วกวาดตามองทุกคน
“ได้ งั้นเริ่มเลย”
หลังจากงงไปแปดตลบ ห้านาทีต่อมาพัฒน์นรีถึงได้เข้าใจว่าตัวเองถูกเรียกตัวมาด้วยเรื่องอะไร
เนื่องจากวริษฐ์ เลขาฯ ของพิชญ์เจ็บหนักจากอุบัติเหตุครั้งนั้น และต้องใช้เวลารักษาตัวหลายเดือนเพราะขาหักเป็นสองท่อน พิชญ์จึงมีความจำเป็นต้องหาเลขาฯ ใหม่อย่างเร่งด่วน แต่การรับเลขาฯ ใหม่สำหรับรองประธานบริษัทไม่ใช่เรื่องง่าย และพิชญ์ก็ไม่สะดวกที่จะต้องสอนงานเลขาฯ ใหม่ทั้งหมด
เมื่อนำหลายเหตุผลรวมกัน ทำให้คณะกรรมการเสนอว่าให้เฟ้นหาคนในบริษัทที่มีความสามารถพอที่จะเป็นเลขาฯ ของพิชญ์ได้
แล้วเธอน่ะหรือที่จิรวัฒน์คิดว่าสามารถเป็นเลขาฯ ของพิชญ์ได้
หึ! ไม่เอาด้วยหรอก
พอได้รู้พัฒน์นรีก็แทบเผ่นแน่บออกจากห้องไปเสียตอนนั้น เธอปลื้มท่านรองฯ มากจริงๆ แต่ไม่ได้ปรารถนาจะได้เป็นเลขาฯ ของเขา เพราะเธอจะทำงานได้อย่างมีศักยภาพและเต็มความสามารถก็ต่อเมื่ออยู่ในที่ที่รู้สึกถึงความปลอดภัย แต่ก็เห็นอยู่ว่ากับพิชญ์นั้นไม่ใช่
เขาเป็นบุคคลอันตรายมากที่สุด ไม่ใช่กับร่างกาย แต่เป็นกับหัวใจ ดังนั้นแล้ว…เธอขอปลื้มเขาอยู่ห่างๆ ในมุมของตัวเองดีกว่า