บทที่ 4
ชีวิตพลิกผันครั้งใหญ่
“ฉันอยากจะกรี๊ดให้สลบ แล้วตื่นมากรี๊ดใหม่แล้วสลบไปอีกสักห้ารอบ อยู่ๆ แกก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเลขาฯ รองประธานบริษัท ไม่ผิดจากที่ดวงรายปักษ์ทำนายไว้เลย คนเกิดราศรีกรกฎจะดวงดีแบบก้าวกระโดด ชีวิตจะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ” นลินรัตน์ออกอาการช็อกแล้วช็อกอีก
ขณะที่เหมยลี่มีสีหน้าเหลือเชื่อไม่ต่างกัน ดีที่แวววารีกับอินทิราซึ่งทราบเรื่องจนตกใจไปหลายรอบไม่ว่างมาด้วย ไม่เช่นนั้นคงต้องมีการถกกันยาวนานจนร้านปิดแน่ๆ
พัฒน์นรีเองก็ยังทำใจให้ปกติไม่ได้ เธอห่อตัวเองจนลีบเล็กเพราะไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าสิ่งที่นลินรัตน์พูดจะเกิดขึ้นกับเธอจริงๆ ชีวิตอันแสนราบเรียบคือความปรารถนาของเธอยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด แต่นับจากนี้ไปไม่รู้อีกกี่เดือนมันจะไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว
“ทำหงอย” เหมยลี่กลอกตาเป็นครึ่งวงกลม “รู้หรอกนะว่าแกน่ะดีใจจนเนื้อเต้น”
“ดีใจอะไรกันล่ะ ฉันชอบเขาก็จริงนะ แต่ว่าอยู่ใกล้ๆ ไม่ได้ ใกล้ทีไรเหมือนอากาศรอบตัวมันน้อยลงยังไงไม่รู้ ฉันหายใจไม่ถนัด ไม่เป็นตัวของตัวเอง ครื้นเครงก็ไม่ได้ โอ๊ย! ฉันต้องตายแน่ๆ” พัฒน์นรีซบหน้าลงกับโต๊ะไม้ของร้านกาแฟเจ้าประจำ
ขณะที่นลินรัตน์และเหมยลี่หันมามองหน้ากันอย่างไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไรดี ที่พัฒน์นรีพูดมานั้นจริงทุกประการ ใครๆ ต่างก็ทราบดีว่าพิชญ์เป็นมนุษย์เพอร์เฟ็กต์ นอกจากความหล่อปานเทพบุตรในตำนานกรีกแล้ว สมองของเขาก็ดีมากๆ เหมือนบรรจุไปด้วยไมโครซอฟต์อัจฉริยะของคอมพิวเตอร์ ดวงตาคมกริบ วาจาคมคาย และร่างกายอันประกอบไปด้วยของแบรนด์เนมราคาแพงระยับอันบ่งบอกถึงฐานะมหาเศรษฐีของเขา แค่ที่กล่าวมานี้ก็เห็นได้ชัดว่าต่อให้ไม่ได้ปลื้มเขาเป็นพิเศษก็คงประสบภาวะหายใจไม่ออกเหมือนกันทุกคนหากต้องอยู่ใกล้ๆ
“แล้วใครใช้ให้แกไปแสดงแสนยานุภาพขนาดนั้นเล่า เขียนแผนธุรกิจแบบสดๆ โดยไม่ต้องวางแผนล่วงหน้าจนเขาอึ้งกันไปทั้งห้องประชุม” เหมยลี่ถามอย่างไม่เข้าใจ “หากว่าแกนั่งบื้อใบ้เหมือนคนอื่น เขาก็ไม่เลือกแกแล้ว”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรมาสะกิดต่อม พอเห็นสายตาผิดหวังของเขา ฉันก็รู้สึกผิดขึ้นมา เหมือนฉันทำร้ายลูกชายสุดที่รักของตัวเอง ฉันก็เลยทำไปทั้งหมดนั่นแหละ ไม่คิดด้วยซ้ำว่าเขาจะเลือกฉันน่ะ”
สองเพื่อนซี้ต่างวัยมองหน้ากันอย่างหนักใจแทน แต่ถึงขนาดนี้แล้วคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการเตรียมใจเป็นเลขาฯ ที่เพอร์เฟ็กต์ของผู้ชายเพอร์เฟ็กต์อย่างพิชญ์
“แล้วนี่เริ่มงานเมื่อไหร่”
คำถามของเหมยลี่ทำให้พัฒน์นรีอยากจะร้องไห้ออกมา
“พรุ่งนี้”
พัฒน์นรีวางกระเป๋าถือลงบนโต๊ะทำงานใหม่ของตัวเอง มองป้ายที่ติดอยู่หน้าประตูห้องทำงานของพิชญ์ด้วยความรู้สึกโหวงในอก
นี่มันเรื่องจริงหรือเธอกำลังฝันอยู่กันแน่ ถ้าเป็นฝันจริงๆ ล่ะก็ งานนี้เธอหลับลึกเกินไปแล้ว
“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณเลขาฯ คนใหม่ มาแต่เช้าเลยนะครับ”
ชายร่างหนาในแบบฝรั่งตัวโตอยู่ในชุดสูทสีดำสนิทยืนยิ้มแป้นอยู่เคียงข้างกับชายรูปร่างเล็กกว่า ใบหน้าบ่งบอกว่าเป็นคนชาติเดียวกับเธอ
“ผมแม็คนะครับ เผื่อคุณจำไม่ได้ แล้วนี่ก็อลัน”
“สวัสดีค่ะคุณแม็ค คุณอลัน” พัฒน์นรียกมือไหว้พวกเขาพร้อมส่งยิ้มกระจ่างให้
การทักทายจบลงแค่นั้น เพราะอีกฝ่ายไม่พูดอะไรเอาแต่ยิ้มจนพัฒน์นรีเกิดอาการประหม่า
“คุณยิ้มอะไรเหรอคะ แหม! ยิ้มเสียจนฉันรู้สึกไม่มั่นใจเลย”
แม็คหัวเราะที่หญิงสาวตรงหน้าพูดออกมาตรงๆ เขาเลยคิดว่าจะตอบกลับไปตรงๆ บ้าง
“กลุ่มพวกเราไม่ค่อยมีผู้หญิงเข้ามาน่ะครับ ในความทรงจำเรียกว่าไม่มีเลยดีกว่า พอมีคุณเข้ามาทำให้รู้สึกสดชื่นจนบอกไม่ถูก”
“กลุ่มเหรอคะ”
“ใช่แล้ว การทำงานให้เจ้านายอย่างท่านรองฯ ต้องบุกป่าฝ่าดงและทรหดยิ่งกว่าเข้าค่ายลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ ฉะนั้นแล้วเราจะต้องร่วมมือกันให้มาก ตอนนี้คุณเป็นแก๊งเดียวกับเราแล้วนะครับ เป็นสาวสวยคนแรกของแก๊งเราเลย” อลันยื่นมือมาให้
พัฒน์นรีเอื้อมมือไปสัมผัสมือเขาอย่างเสียไม่ได้ ตกตะลึงเล็กๆ ในการได้รับเกียรติครั้งนี้