บทที่ 5
ระยะ (ต้อง) ห่าง
ก่อนหน้านี้พัฒน์นรีคิดว่าพิชญ์เป็นมนุษย์ที่เกิดคนละดวงดาวกับเธอ หรือไม่ก็เป็นอะไรที่ไกลจากตัวเธอมากๆ จนเหมือนอยู่กันคนละฟากฟ้า แต่การได้เป็นเลขาฯ ของเขาแบบงงๆ มาหนึ่งสัปดาห์ก็ทำให้เธอได้เห็นว่าพิชญ์เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
ใช่! มนุษย์ธรรมดาแต่อาจจะเหนือกว่ามนุษย์ทั่วไปนิดหน่อย
พิชญ์ทำงานเก่ง เป็นผู้บริหารหนุ่มไฟแรงที่กรรมการบริษัททุกคนให้การยอมรับและยำเกรง สังเกตได้จากเวลาประชุมฝ่ายบริหารพิชญ์จะเป็นคนเดียวที่ดูผ่อนคลายในขณะที่คนอื่นนั่งตัวเกร็งไม่กระดิกแม้แต่นิดเดียว เท่าที่เห็นไม่มีใครแสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์หรือดูแคลนเลยแม้ว่าพิชญ์จะอายุยังน้อยถ้าเทียบกับตำแหน่งงานของเขา
ถึงคนอื่นจะมองว่าพิชญ์ต้องได้ตำแหน่งรองประธานบริษัทอยู่แล้วเพราะเป็นทายาท แต่คนใกล้ตัวต่างรู้ดีว่าต่อให้เป็นทายาทก็ไม่อาจก้าวหน้าได้เร็วขนาดนี้ นั่นเพราะว่าเขาเก่งอย่างที่บอก ไม่ว่าปัญหาอะไรก็สามารถจัดการได้ง่ายๆ อย่างที่คนทั่วไปอาจจะต้องคิดแล้วคิดอีกจนหัวหมุน นั่นแหละคือสิ่งที่เขาดูเหนือกว่าคนอื่น
นอกจากนั้นพิชญ์ก็มีวิถีชีวิตเหมือนคนทั่วไป เขาดื่มกาแฟดำวันละสองแก้วคือเช้ากับเที่ยง อาหารกลางวันมักจะถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดหากว่ามีงานอื่นมาแทรก บางครั้งก็ลากยาวไปรวบเอามื้อเย็นทีเดียวเพราะโดยมากในหนึ่งสัปดาห์เขามีนัดรับประทานมื้อเย็นกับลูกค้าเป็นประจำ เว้นวันพุธและศุกร์ที่เขาแจ้งไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่ขอรับนัดใครเพราะมีกิจกรรมกับกลุ่มเพื่อน
เธอสงสัยเหมือนกันว่ากิจกรรมที่ว่าคืออะไร แล้วเพื่อนของเขาเป็นคนประเภทไหน เดาไม่ถูกเลยจริงๆ
“เมื่อเช้าคุณรจเรขเสนอโครงการค่ะ”
“คุณอ่านหรือยัง”
“อ่านแล้วค่ะ”
คำตอบอย่างมั่นอกมั่นใจนั้นทำให้พิชญ์ชะงัก เขาเลื่อนสายตาจากแฟ้มเอกสารเสนอเซ็นขึ้นมามองคนพูด ใบหน้าอ่อนเยาว์ยิ้มละไม เขาเคยคิดว่าวริษฐ์คือเลขาฯ ที่ดีที่สุดของเขาอย่างที่ใครก็ไม่สามารถแทนได้ แต่จากการทำงานร่วมกับพัฒน์นรีมาหนึ่งสัปดาห์นั้นเปลี่ยนความคิดของเขาเรื่องนี้ไปไม่น้อย
“ฝ่ายประชาสัมพันธ์เสนอให้มีการจัดประกวดร้องเพลง เต้นคัฟเวอร์เหมือนทุกปีค่ะ แต่เพิ่มกิจกรรมแสดงความสามารถพิเศษ เริ่มออดิชั่นก่อนวันงานสองสัปดาห์ ศิลปินที่มาเปิดงานคือมาร์ค ธิติวัฒน์” พัฒน์นรียิ้มออกมา ดวงตาแวววาวเมื่อกล่าวถึงศิลปินหนุ่มที่กำลังมีกระแสดีมากในช่วงนี้
“ดาราใหม่เหรอ” พิชญ์เหลือบมองสีหน้าของเลขาฯ ที่ดูจะปลื้มปริ่มดาราหนุ่มอย่างออกนอกหน้า
“เป็นพระเอกละครตอนเย็นน่ะค่ะ ดังมากเลยนะคะ เด็กน่าจะชอบ”
“ไม่ใช่แค่เด็กมั้ง…ที่ชอบ” พิชญ์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยไม่จริงจังเท่าใดนัก แต่นั่นทำให้คนฟังถึงกับนิ่วหน้าด้วยความไม่เข้าใจ
“ท่านรองฯ หมายความว่ายังไงคะ”
“ก็ไม่ใช่แค่เด็กที่ชอบดาราคนนี้ แต่คงจะเป็นผู้ใหญ่บางคนแถวนี้ด้วย”
รอยย่นบนหัวคิ้วของพัฒน์นรีขยับเข้าหากันอีกนิด ก่อนจะคลายออกเมื่อเข้าใจสิ่งที่เจ้านายบอกแบบอ้อมๆ
“อ้อ! นี่ท่านรองฯ กำลังเหน็บฉันใช่มั้ยคะเนี่ย” เธอหรี่ตามองเขา ไม่อยากเชื่อว่าชายหนุ่มจะมีมุมแบบนี้เหมือนกัน
พิชญ์ยังคงพิจารณาใบหน้าหล่อเหลาของนักแสดงหนุ่มที่แนบมาในเอกสารโครงการ “ระหว่างผมกับหมอนี่…คุณคิดว่าใครหล่อกว่ากัน”
“ท่านรองฯ หล่อกว่าอยู่แล้วค่ะ” พัฒน์นรีตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด แววตาเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ แต่ขณะที่กำลังเปรียบเทียบความหล่อของดาราหนุ่มกับพิชญ์อยู่นั้น รู้ตัวอีกทีก็เห็นดวงตาคมของคนตรงหน้ามองมาที่เธอไม่กะพริบ สีหน้ามั่นอกมั่นใจของหญิงสาวเจื่อนลงจนแทบจืดสนิท “คือว่า…ฉันหมายถึง…”
พิชญ์เองก็กระอักกระอ่วนไม่แพ้กัน โดยปกติเขาไม่ค่อยอินกับคำชมสักเท่าไหร่ ด้วยเพราะถูกฉาบคำพวกนี้มาตั้งแต่เด็ก แต่คำชมจากหญิงสาวให้ความรู้สึกแปลกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
อยู่ๆ หน้าเขาก็เห่อร้อนขึ้นมา
“อืม มันแน่อยู่แล้ว”
“ค่ะ” พัฒน์นรีแอบพ่นลมหายใจออกมา นึกโมโหตัวเองที่พูดออกไปแบบนั้น เธอรู้ว่าพิชญ์แค่ถามโดยไม่ได้ต้องการคำตอบอะไร แต่การที่เธอตอบว่าเขาหล่อกว่าพระเอกละครแบบไม่ต้องคิดนั้น คนฉลาดๆ ก็ต้องมองออกว่าเธอ…คิดอะไรเกินเลย
ไม่มั้ง เขาคงไม่รู้หรอก