แล้วอะไรกันที่ทำให้เธอกล้าหาญปานนั้น ถ้าไม่ได้เกิดจากความรู้สึกส่วนตัว เพราะหากว่าคนที่พูดกับเธอวันนี้ไม่ใช่พิชญ์แต่เป็นเจ้านายคนอื่น เธอก็คงไม่มีความรู้สึกถึงเพียงนี้
“ฉันผิดเองแหละ” พัฒน์นรียอมรับออกมาง่ายๆ ในที่สุด ควันของเนื้อย่างลอยขึ้นมาปะทะจมูกจนเธออดใจหยิบใส่ปากไม่ได้ทั้งๆ ที่เครียดมากอยู่แท้ๆ
เหมยลี่มองหน้าเพื่อนแล้วได้แต่กลอกตาไปมา
“จากที่แกเล่าให้ฉันฟัง ฉันอดคิดไม่ได้เลยว่าแกรอดออกมานั่งเล่าเรื่องทั้งหมดได้ยังไง ระวังไว้เถอะ วันจันทร์อาจมีซองขาววางอยู่ที่โต๊ะนะจ๊ะ”
“บ้าสิ ปากอัปมงคลนะไอ้ลี่” พัฒน์นรีแทบแหกอกเพื่อน “คอนโดฯ ฉันต้องผ่อนอีกสามสิบปีนะ ฉันจะถูกไล่ออกไม่ได้เด็ดขาด”
“รู้แบบนี้ก็หัดเจียมตัวเสียบ้าง หรือไม่ มื้อนี้ให้ฉันเลี้ยงแก”
“เกี่ยวอะไรด้วย ทำไมต้องเลี้ยง”
“ก็เลี้ยงส่งแกไง”
“ไอ้บ้า”
เหมยลี่หัวเราะออกมาเมื่อเห็นอาการตาถลนของเพื่อน คำว่าถูกไล่ออกเป็นคำหยาบที่สุดในพจนานุกรมของพัฒน์นรี
“แต่แปลกนะ ฉันคิดว่าแกอยู่ใกล้เขา อาการหลงรูปที่เป็นอยู่จะหนักขึ้นเสียอีก”
“ไอ้เรื่องรูปลักษณ์ภายนอกมันก็น่าหลงอยู่หรอก แต่เย็นชาเป็นน้ำแข็งขั้วโลกขนาดนั้น ฉันขอถอยกลับไปอยู่ในจุดเดิมดีกว่า”
“เอาน่า ตำแหน่งที่แกทำใครๆ ก็อยากเป็นทั้งนั้นแหละ เงินเดือนดี ทำงานใกล้หูใกล้ตาเจ้านาย โอกาสก้าวหน้าก็มีสูง”เหมยลี่ให้กำลังใจ แต่ถ้าให้เธอไปเป็นเลขาฯ ของพิชญ์คงต้องขอบายดีกว่า กลัวจะหัวระเบิดตายก่อนได้ใช้เงินเดือน
“เฮ้อ! พูดแล้วก็อยากตบปากตัวเอง ทำไมฉันต้องบ้าบอไปงัดข้อกับเขาแบบนั้นด้วยนะ งานดีๆ สมัยนี้หายากจะตายชัก เกิดซวยโดนไล่ออกขึ้นมาทำไง โอ๊ย! ทุกขลาภจริงๆ ได้เป็นเลขาฯ เขาทั้งที แต่ทำอะไรผิดนิดพานซวยจะถูกไล่ออก” พัฒน์นรีอยากจะตบปากพล่อยๆ ของตัวเองนัก “ถ้าฉันรอดใบเชิญออกครั้งนี้ไปได้ ฉันสาบานเลยว่าจะสงบปากสงบคำ ท่านรองฯ จะด่าจะว่าอะไร ฉันจะพูดแต่คำว่า ‘ค่ะ’ อย่างเดียวเลย”
“ใช่! ทำงานไม่ต้องคิดเอาหน้า แต่เลียตั้งแต่หน้าประตูบริษัทเข้าไปเลย ด่าอะไรมาตอบไปแค่ว่า ‘แจ๋วครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน’ ”
พัฒน์นรีตวัดสายตามองเพื่อน คิดตามแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ “แบบนี้มันยิ่งกว่าเอาหน้าอีกไม่ใช่เหรอ”
“แหม…พูดก็พูดเถอะ ปากท้องสำคัญกว่าศักดิ์ศรีนี่ยะ” เหมยลี่ใช้มือสะบัดผมหยักศกของตัวเองไปด้านหลังแล้วเก๊กหน้าสวย “เพื่อโบนัสแล้ว ฉันพร้อมจะทำทุกอย่าง”
“จ้า เพื่อนรัก สอนฉันได้ดีมาก” พัฒน์นรีปล่อยลมหายใจออกมา การได้พูดคุยกับเพื่อนช่วยปลดปล่อยความเครียดของเธอให้ทุเลาลงได้ “แต่ลับหลังขอบ่นหน่อยเถอะ ผู้ชายอะไร ฉันอุตส่าห์หลงรักมาเป็นปีๆ ได้โอกาสมาทำงานเป็นเลขาฯ ก็คิดว่าจะได้เห็นหน้าหล่อๆ นั่นยิ้มสักครั้ง นี่กลับทำหน้ายักษ์ตลอด ขี้บ่นก็ปานนั้น จนฉันอดคิดไม่ได้ว่าเวลาอยู่บนเตียงเขาทำไปบ่นไปหรือเปล่า”
“เซี้ยว!” เหมยลี่ทำตาโต ก่อนที่สองเพื่อนซี้จะหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ จากนั้นบทสนทนาก็เป็นการวิเคราะห์อย่างสัปดน
ความบันเทิงของมนุษย์เงินเดือนก็คือการเม้าท์เพื่อนร่วมงาน แต่ความบันเทิงที่มากกว่านั้นก็คือการนินทาเจ้านายนั่นแหละ
พัฒน์นรีแยกย้ายกับเหมยลี่ตอนสามทุ่มเศษเข้าไปแล้ว เนื่องจากวันพรุ่งนี้เป็นวันหยุด เธอเลยเถลไถลได้มากหน่อย แต่ถึงแม้จะปรับทุกข์กับเพื่อนจนไม่มีอะไรจะปรับแล้ว พัฒน์นรีก็อดรู้สึกไม่ได้ว่ามีบางอย่างติดค้างอยู่ในใจเธอ
“ไม่น่าพูดอะไรออกไปมากมายแบบนั้นเลยจริงๆ แก้มเอ๊ย! ทีนี้จะสู้หน้าท่านรองฯ ได้ยังไง ฉันควรจะยิ้มให้ท่านรองฯ ได้ชื่นใจทุกวัน แต่อยู่ๆ ก็มาดึงดราม่าซะงั้น ผีอะไรเข้าสิงแกวะเนี่ย”
เธอบ่นกับตัวเองเป็นรอบที่ร้อยนับตั้งแต่แยกกับเพื่อนที่ร้านเนื้อย่าง ใบหน้างอง้ำควานหาคีย์การ์ดในกระเป๋าอย่างเซ็งๆ แต่ไม่ทันได้หาของเจอ โทรศัพท์ก็แผดเสียงขึ้นจนเธอตกใจ และยิ่งตกใจหนักมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่าคนที่โทรมาเป็นใคร
‘รองประธานพิชญ์’