LOVE
ทดลองอ่าน เสน่ห์ร้าย บทนำ
บทนำ
“นี่! รู้แล้วเหยียบไว้เลยนะ”
ทันทีที่ประโยคนี้สิ้นสุดลง ล้อเลื่อนของเก้าอี้พนักงานก็เหมือนมีแรงดึงดูดจากพลังแม่เหล็กลากไปยังศูนย์กลางหอกระจายข่าวอย่างรวดเร็ว
“ไอ้แก้ม มานี่สิ ยืนอยู่ตรงนั้นทำไม เดี๋ยวก็ไม่ได้ยินหรอก”
พัฒน์นรีกลอกตารัวๆ สิบรอบ ทำหน้าเมื่อย เกลียดจริงๆ พวกชอบซุบซิบนินทาในที่ทำงาน คนขยันขันแข็งเอาการเอางานเช่นเธอน่ะหรือจะสนใจเรื่องชาวบ้านมากกว่างาน ต่อให้เธอต้องเป็นคนไร้ข่าวสาร ไม่รับรู้อะไรบนโลกนี้เลย แต่งานเดินหน้าไปได้เพียงคืบเดียว เธอก็เต็มใจที่จะไม่รู้
เสียเมื่อไหร่…
เรื่องเม้าท์มอยหอยกาบในที่ทำงานเป็นอรรถรสอย่างหนึ่งที่ทำให้การทำงานกับหน้าจอคอมพิวเตอร์วันละแปดชั่วโมงของเธอไม่น่าเบื่อจนเกินไป และนั่นก็ถือเป็นหน้าที่ที่ทุกคนจะต้องสอดส่องความเป็นไปในบริษัท ในประเทศ รวมถึงบนโลกใบนี้เหมือนมีตาเป็นสับปะรด หูดีประดุจแมวป่า และสัมผัสทั้งห้าว่องไวไร้เทียมทาน
อ้อ! ถ้าใครมีสัมผัสที่หกด้วย คนคนนั้นถือว่าเป็นบุคลากรอันทรงคุณค่า ท่านจะได้รับความสนใจอย่างมากเป็นกรณีพิเศษ
“แหม สปีดกันเร็วขนาดนั้น ขายังไม่ขยับเลย ทุกคนก็ถึงที่แล้ว” พัฒน์นรีดึงคอเสื้อเชิ้ตสีม่วงอ่อนของเหมยลี่ให้ขยับจากวงสนทนาก่อนจะพาตัวเองแทรกเข้าไปอย่างรวดเร็ว “โอเค เริ่มได้”
“เรื่องนี้อาจจะทำให้ใครหลายคนต้องอกหักดังเป๊าะ” นลินรัตน์ยกมือป้องปากแล้วลดระดับเสียงลง
พอเกริ่นนำมาแบบนี้ก็เล่นเอาบรรดาสาวโสดไม่จริงต้องอกสั่นขวัญแขวนกันถ้วนหน้า เพราะนอกจากแวววารีสาวใหญ่ผู้คลั่งไคล้เด็กหนุ่มจะหลงรักเด็กใหม่แผนกออกแบบแล้ว สาวงามอย่างเหมยลี่ก็แอบปลื้มหนุ่มหล่ออนาคตไกลจากแผนกกลยุทธ์ อินทิราก็ปันใจให้จิรวัฒน์หัวหน้าแผนกผู้แสนดุดัน
ส่วนพัฒน์นรีนั้นเรียกได้ว่าเล่นของสูงกว่าเพื่อน เพราะเธอเป็นติ่งรองประธานพิชญ์ ชายต้องห้ามผู้กุมชะตามารีรินทร์กรุ๊ปอยู่ในขณะนี้
ว่าแต่งานนี้หวยจะออกที่ใคร!
“ฉันได้ยินเขาลือกันหนาหู…” นลินรัตน์ยังลากเรื่องให้ยาวอีกตามเคย คนฟังแทบจะหมดลมเพราะเอาแต่กลั้นใจรอ
“สักทีเถอะ” อินทิราเริ่มทนไม่ไหว สะกิดนลินรัตน์เสียจนร่างสะโอดสะองเซไปด้านหน้าพร้อมกับหลุดปากออกมาว่า…
“ท่านรองฯ”
“หือ!”
แค่ได้ยินชื่อตำแหน่ง ทุกคนก็หันมามองพัฒน์นรีอย่างพร้อมเพรียง หญิงสาวเบิกตากว้าง พยายามคุมสีหน้าให้อยู่ในระดับปกติ ซึ่งแน่นอนว่าทำไม่ได้เลย อันที่จริงเธอก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับการที่ท่านรองฯ จะมีข่าวกับสาวที่ไหน แต่ว่าคนที่หลงปลื้มเขามาถึงสองปีเต็มย่อมมีความสุขกับการเห็นเขาโสดมากกว่าที่จะรับรู้ว่าเขามีแฟนไม่ใช่หรือ
แต่ก็นะ ผู้ชายอย่างพิชญ์อยู่เป็นโสดให้เธอฟินถึงสองปีก็ดีตั้งเท่าไหร่ ถ้าเขามีแฟนจริงๆ เธอก็จะเป็นเอฟซีแฟนเขาด้วย ควบสองไปเลย
“ท่านรองฯ มีคู่หมั้นแล้ว”
“หา…” คราวนี้พัฒน์นรีเก็บอาการไม่อยู่ ไม่ใช่แค่แฟน แต่เป็นคู่หมั้นเลยเหรอ “คะ…คะ…คู่หมั้น”
“ใช่แล้ว คุณพริ้มเพรา หลานสาวตระกูลปัถมธาดา” นลินรัตน์พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ตาเป็นประกายพราวระยับ
ขณะที่พัฒน์นรีดวงตาแห้งผากยิ่งกว่าน้ำกลางทะเลทราย แล้วเสียงเซ็งแซ่แสดงความเห็นก็ดังขึ้นมาเป็นอีกเป็นระลอก ทว่าเธอกลับไม่ได้ยินอะไรเลย ราวกับว่าสรรพสิ่งรอบข้างไร้เสียง หรือว่าเธอเองที่หูดับ เธอไม่ได้ยินอะไรจนกระทั่งเสียงหนึ่งแทรกเข้ามา
“โอ้โห! รวยกับรวย นี่แหละนะวงการธุรกิจ แต่งกันเพราะผลประโยชน์ชัวร์ ดังโบราณเขาว่าเรือล่มในหนองทองจะไปไหน” แวววารีกล่าวตามนิสัยคนปากไวและความแก่ประสบการณ์ทำให้กล้าพูดในสิ่งที่คิดออกมาทันที
พัฒน์นรีอยากจะเอามือตะปบปากสาวรุ่นพี่นัก เรื่องอะไรมาว่าท่านรองฯ ของเธอว่าแต่งงานเพื่อผลประโยชน์
“ไม่จริงหรอกค่ะพี่แวว คนอย่างท่านรองฯ ทั้งหล่อ รวย ฉลาด เพอร์เฟ็กต์ทุกตารางนิ้ว แน่นอนว่าเขาต้องมีความรักที่โรแมนติกมากๆ ด้วย”
“ทำเป็นพูดเพ้อไป รู้หรอกนะว่าเสียใจอยู่” แวววารีเย้าเพื่อนร่วมงานรุ่นน้อง
“ใครเสียใจคะ ไม่มี้ ฉันไม่เสียใจเลยสักนิด ความรักที่ฉันมีให้ท่านรองฯ เป็นความรักที่บริสุทธิ์ ไม่หวังครอบครอง คนที่เรารักมีความสุข เราก็ย่อมมีความสุขไปด้วย”
พอทุกคนได้ฟังแล้วก็กลอกตามองหน้ากันเหมือนอยากจะอาเจียนให้กับความเลี่ยนนี้ ประเด็นเรื่องคู่หมั้นของท่านรองฯ ไม่สำคัญอีกต่อไปเพราะความหลงใหลเกินพิกัดของพัฒน์นรีที่ทำให้เกิดอาการกระอักกระอ่วนมวนท้อง
แต่ไม่ทันที่ใครจะพูดอะไร ความเลี่ยนก็กลับกลายเป็นความเกร็งระดับสิบเมื่อคนในหัวข้อสนทนาเดินผ่านมาพอดิบพอดี
…และก็เดินผ่านไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าพายุเหมือนเช่นเคย ก่อนที่เสียงผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกจะดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
“เฮ้อ!…”
พิชญ์ บริพัตรเมธานนท์ เป็นเสมือนสัตว์ประหลาดในสายตาทุกคน เขาดูไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไป แต่เป็นชายวัยสามสิบเอ็ดปีผู้เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบทุกตารางนิ้ว ไม่ว่าจะเป็นชาติตระกูลที่สูงส่ง รูปร่างสูงร้อยแปดสิบหก หนักเจ็ดสิบห้า ไหล่กว้างสิบเจ็ดนิ้ว ใบหน้าหล่อเหลา รูปคิ้วเข้มจัด แววตาคม จมูกโด่ง และริมฝีปากน่าจูบ
“เฮ้อ!”
พัฒน์นรีถอนหายใจออกมาอีกครั้งขณะมองตามแผ่นหลังที่สวมทับด้วยสูทซึ่งถูกตัดมาให้พอดีกับตัวเขาหายลับไปอย่างรวดเร็วเพราะช่วงจังหวะการก้าวเดินที่ว่องไว
‘สามีมโน’ ของเธอมีคู่หมั้นแล้วหรือนี่
คิดแล้วอยากจะร้องไห้ คราวนี้ถ้าเขาแต่งงานกันไปแล้วไม่เท่ากับว่าเธอต้องตกเป็นมือที่สามหรือ จะหลงใหลคลั่งไคล้เขาเหมือนเดิมก็คงไม่ได้อีกแล้ว การทำงานในคอกแคบๆ ของเธอก็จะห่อเหี่ยวยิ่งกว่าต้นไม้เฉาตาย
“เลิกคิดถึงท่านรองฯ แล้วก็รีบทำงานเสียที”
เสียงหนึ่งลอยเข้ามาทำเอาอาการเพ้อสะดุดลง พัฒน์นรีหันไปมองค้อนใส่เหมยลี่หนหนึ่งก่อนยอมเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะแล้วเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์
ตายล่ะ ลืมหัวข้อการประชุมบ่ายนี้ไปเสียแล้ว
(ตอนต่อไปพบกันวันที่ 17 มีนาคม)