ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน โฉมงามสองหน้า บทที่ 1
บทที่หนึ่ง
อูอีเสวี่ยยืนอยู่บนที่สูงริมหน้าผาก้มลงมองหุบเหวลึกที่เต็มไปด้วยอันตราย หน้าผาที่นางยืนอยู่แห่งนี้มีชื่อเรียกที่ทำให้คนได้ยินแล้วขวัญหนีดีฝ่อว่า ‘หน้าผามัจจุราช’
หน้าผามัจจุราชตั้งอยู่ทางตะวันตกของเทือกเขาหุบปีศาจ เทือกเขาหุบปีศาจมีภูมิลักษณ์สูงชะโงกเงื้อมเต็มไปด้วยอันตราย มีโขดหินและป่าตัดสลับกัน สายน้ำคดเคี้ยววกวน ไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัย ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้คนอยู่อาศัยบางตา ในเทือกเขาหุบปีศาจ หน้าผามัจจุราชนับว่ามีชัยภูมิที่อันตรายมากที่สุด สถานที่แห่งนี้ไร้ซึ่งร่องรอยของนกและสัตว์เดินเท้า ไม่มีต้นไม้ใบหญ้างอกขึ้นมาแม้แต่ชุ่น เดียว ปีนขึ้นที่สูงมองลงไปมืดครึ้มไม่เห็นก้นเหว ประหนึ่งปากทางเข้าสู่แดนนรก เป็นที่มาของชื่อผาแห่งนี้
ในเทือกเขาหุบปีศาจมีแดนสุขาวดีอยู่แห่งหนึ่ง ชื่อ ‘หุบเขาหมื่นบุปผา’ ที่มีชื่อเรียกเช่นนี้เพราะมีบุปผานานาพรรณผลิบานสะพรั่ง มีผู้คนอาศัยอยู่ที่นี่สามร้อยกว่าคน อูอีเสวี่ยประมุขหุบเขาวัยเยาว์ที่เพิ่งขึ้นรับตำแหน่งได้สามเดือนมีอายุเพียงแค่สิบหกปี
เจ็ดวันก่อน สำนักใหญ่ต่างๆ ในยุทธภพได้ผนึกกำลังกันบุกเข้าโจมตีหุบเขาหมื่นบุปผาโดยอ้างว่าต้องการจะขับไล่พรรคมาร และเมื่อสามวันก่อน ปากทางเข้าหุบเขาถูกตีแตก อูอีเสวี่ยฝ่าวงล้อมออกมาภายใต้การคุ้มกันของผู้คุมกฎทั้งสี่ หนีตายจนมาถึงหน้าผามัจจุราช
นางยืนอยู่ริมหน้าผามัจจุราช ดวงตางามคู่นั้นจับจ้องไปที่ด้านล่าง ไม่ว่านางจะพยายามมองอย่างไรก็มองไม่เห็นความลึกของก้นเหว
ลมภูเขาพัดเส้นผมดำของนางปลิวสยาย แสงสุดท้ายยามเย็นส่องกระทบโครงหน้างดงามไร้ราคีของเด็กสาว สะท้อนองคาพยพทั้งห้าบนใบหน้าที่ประณีตงดงามราวกับหยกสลัก
ช่องเขาแห่งนี้อยู่ระหว่างภูเขาสองลูก เนื่องจากถูกภูเขาสูงบดบัง แสงอาทิตย์จึงส่องถึงเพียงไหล่เขา ในหุบเขาอบอวลไปด้วยหมอกหนาบดบังสายตาโดยสิ้นเชิง เห็นเพียงความมืดมิด จนทำให้คนอดขนลุกขนพองขึ้นในใจไม่ได้
อาจารย์ไม่ได้หลอกนางกระมัง
กระโดดจากตรงนี้ลงไปไม่ตายจริงหรือ
อูอีเสวี่ยหวนนึกถึงคำสั่งกำชับของอาจารย์ด้วยความอกสั่นขวัญหาย…
‘นางหนูเสวี่ยจำไว้ ถ้าศัตรูโจมตีเข้ามา เจ้าจะต้องพาผู้คุมกฎทั้งสี่กระโดดหน้าผามัจจุราช รักษาชีวิตเอาไว้ อย่าได้ดึงดันสู้ตายกับพวกเขาเป็นอันขาด กระโดดหน้าผาคือทางรอดเพียงทางเดียว เข้าใจหรือไม่’
อูมู่ฉินคืออาจารย์ของนาง และเป็นอดีตประมุขของหุบเขาหมื่นบุปผา ก่อนถึงแก่กรรมได้สั่งกำชับนางเป็นพิเศษด้วยคำพูดเหล่านี้
อูอีเสวี่ยแม้จะแปลกใจ แต่ยังคงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ‘ศิษย์จะปฏิบัติตามคำสั่งอาจารย์’ พร้อมกันนั้นก็ถามด้วยความอยากรู้ ‘อาจารย์ เพราะเหตุใดสำนักใหญ่ต่างๆ ต้องโจมตีเรา’
‘เพราะพวกเขาโอ้อวดตนว่าเป็นฝ่ายธรรมะ และเชื่อข่าวลือในยุทธภพ เห็นว่าเราเป็นพรรคมาร’
‘อาจารย์ ในเมื่อเป็นข่าวลือ เหตุใดเราไม่ส่งคนไปชี้แจงกับพวกเขา’
ความไร้เดียงสาของลูกศิษย์ทำให้อูมู่ฉินยิ้มด้วยความเอ็นดู นางลูบไล้ใบหน้านุ่มนิ่มของลูกศิษย์
‘เด็กโง่ ถ้าเพียงขยับปากก็สามารถสลายความเข้าใจผิดได้ ในยุทธภพก็คงไม่มีเรื่องวุ่นวายมากเพียงนี้แล้ว เจ้าต้องเข้าใจ บนโลกนี้คนโง่มีมากกว่าคนฉลาด คนหูหนวก ตาบอด ใจบอดยิ่งมีมากดุจปลาจี้ข้ามแม่น้ำ คำพูดประโยคหนึ่งพูดออกไป คนร้อยคนฟังแล้วย่อมตีความหมายไปร้อยอย่าง และที่เราทำได้ก็คือไม่เอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ เขาเขียวยังคงอยู่ ไม่ต้องกลัวไร้ฟืนเผา ที่เรารักษาไว้คือเจตจำนงของหุบเขาหมื่นบุปผา ไม่ใช่หุบเขาแห่งนี้ ขอเพียงคนยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนหุบเขาหมื่นบุปผาก็ยังคงอยู่ เข้าใจหรือไม่’
อูอีเสวี่ยดวงตาสุกใสแวววาว ผงกศีรษะ ‘เจ้าค่ะ ศิษย์เข้าใจแล้ว’
นางเชื่อในคำพูดของอาจารย์อย่างไม่สงสัย แต่นางไม่รู้ว่าอาจารย์บอกเรื่องต่างๆ กับนางมากเพียงนั้น กลับไม่ได้บอกนางเพียงเรื่องเดียว นั่นคือจุดประสงค์แท้จริงที่คนเหล่านั้นมาโจมตีหุบเขาหมื่นบุปผา
นางอาลัยอาวรณ์อาจารย์ดุจลูกที่รักและเคารพพ่อแม่ รอยยิ้มอบอุ่นละมุนละไมงดงามของอาจารย์ในตอนนั้นประทับตราตรึงอยู่กลางใจของนาง หลังจากนั้นอาจารย์ถึงแก่กรรมลง ผู้เฒ่าผู้คุมกฎทั้งสี่ก็ถึงแก่กรรมตามไป นางขึ้นสืบทอดตำแหน่งประมุขหุบเขา ผู้คุมกฎหนุ่มสาวสี่คนก็ขึ้นสืบทอดตำแหน่งแทนผู้คุมกฎคนก่อน และได้สาบานว่าแม้ตายก็จะปกป้องประมุขหุบเขาคนใหม่
หลังจากนั้นสามเดือน สำนักต่างๆ ในยุทธภพจากทางเหนือและทางใต้ รวมทั้งกองกำลังทหารจากราชสำนัก แบ่งเป็นสามทางบุกเข้ามาทางตะวันตกและเข้าโจมตีหุบเขาหมื่นบุปผา ผู้คนในหุบเขาหนีกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง อูอีเสวี่ยประมุขคนใหม่พาผู้คุมกฎทั้งสี่ทำตามคำสั่งเสียของอาจารย์ หลอกล่อศัตรูมาที่หน้าผามัจจุราช แผนการหลบภัยมีดังนี้…
แผนการที่หนึ่ง ศัตรูมากเราน้อย อาศัยภูมิลักษณ์ที่ขรุขระสูงๆ ต่ำๆ ของเทือกเขาหุบปีศาจหน่วงเหนี่ยวการรุกโจมตีของศัตรู คัดกรองศิษย์ในสำนักที่วิชาตัวเบาไม่ดีจำนวนหนึ่งไปตัดทอนจำนวนคนของศัตรู
แผนการที่สอง เข้ามาในเทือกเขาก็ไม่ต่างกับเข้ามาในเขาวงกต อาศัยความได้เปรียบด้านชัยภูมิตัดกำลังของศัตรู ลดการบาดเจ็บล้มตายของฝ่ายเรา ช่วงชิงโอกาสที่จะหนีเอาตัวรอดให้มากขึ้น
แผนการที่สาม กระโดดหน้าผามัจจุราชต่อหน้าศัตรู ถือโอกาสนี้แสร้งตาย หายตัวไปจากยุทธภพ
นี่ก็คือสาเหตุที่อูอีเสวี่ยมายืนอยู่ริมหน้าผามัจจุราชในเวลานี้ ดวงตาทั้งสองของนางจับนิ่งไปยังใต้หุบเหวมืดลึกสลัวมองไม่เห็นก้นบึ้ง ภายนอกนางดูสงบนิ่ง ทว่าความจริงแล้วส่วนลึกในใจยังคงหวาดกลัว
ส่วนผู้คุมกฎทั้งสี่ที่ยืนอยู่ข้างหลังนาง เวลานี้กำลังยุ่งกับการถกยุทธวิธีการทำศึกกันอยู่
“ที่นี่ชัยภูมิสูงชะโงกเงื้อมและเต็มไปด้วยอันตราย แม้สามารถถ่วงฝีเท้าศัตรูให้ช้าลง แต่ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาต้องไล่ตามทัน” ผู้คุมกฎงูพูดพลางงอนิ้วมือคำนวณว่ายังมีเวลาอีกกี่ชั่วยาม
“ข้างหน้าไม่มีหนทางให้ไปต่อ ข้างหลังมีทหารไล่ตามมา อย่างมากเราก็สู้ตายกับพวกเขา!” ผู้คุมกฎเสือดาวกำหมัด ข้อนิ้วดังกร๊อบ ท่าทางดุดันประหนึ่งจะลากคนลงสู่แดนนรก
“เราตายไม่เป็นไร แต่ท่านประมุขจะทำอย่างไร พวกเราได้สาบานต่ออดีตประมุขไว้ว่าจะปกป้องท่านประมุข” ดวงตาคู่งามของผู้คุมกฎจิ้งจอกขึงตามองพวกเขาปราดหนึ่ง
“ไม่ผิด พวกเราใครก็ตายได้ มีเพียงท่านประมุขที่ไม่ได้ ภาระสำคัญในการกอบกู้หุบเขาหมื่นบุปผาขึ้นมาใหม่อีกครั้งอยู่ที่ท่านประมุขแล้ว” ผู้คุมกฎอินทรีเอ่ยเตือนทุกคนด้วยท่าทีสุขุมเยือกเย็นและควบคุมตนเองได้
ผู้คุมกฎทั้งสี่ที่เฝ้าปกป้องอยู่ข้างกายอูอีเสวี่ยแบ่งเป็นเสือดาว งู จิ้งจอก อินทรี เป็นคำขนานนามของพวกเขา และแสดงถึงแนวทางวรยุทธ์ที่พวกเขาเชี่ยวชาญ เสือดาวแข็งแกร่งห้าวหาญ งูนุ่มนวลลุ่มลึก จิ้งจอกชำนาญการใช้เสน่ห์เย้ายวนใจ อินทรีสร้างตาข่ายกว้างไพศาล