ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน โฉมงามสองหน้า บทที่ 1
แต่ไรมาทั่วทั้งยุทธภพต่างรู้กันว่าเทือกเขาหุบปีศาจที่อยู่ทางตะวันตก ภูมิลักษณ์สูงชะโงกเงื้อมและเต็มไปด้วยอันตราย เนื่องจากในป่าเขามีไอพิษ มีสัตว์ป่า ทั้งเข้ามาในเทือกเขาก็เหมือนเข้ามาในเขาวงกต คนที่หลงทางในหุบเขาหลังจากตายแล้วก็มักทิ้งกองกระดูกขาวโพลนเอาไว้เสมอ เทือกเขาหุบปีศาจจึงได้ชื่อมาเพราะเหตุนี้
ภูมิลักษณ์ที่ขรุขระสูงต่ำแปลกประหลาดบวกกับค่ายกลที่ผู้คุมกฎจิ้งจอกวางไว้ได้เพิ่มขีดความยากของการเข้ามาในเทือกเขา ทว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน คนที่สามารถฝ่าค่ายกลบุกออกจากเขาวงกตมาได้ ล้วนเป็นยอดฝีมือในยุทธภพ
ทว่าอย่างไรยอดฝีมือก็เป็นคนส่วนน้อย ฝ่ายศัตรูเดิมมีกำลังคนหลายร้อยคน สุดท้ายที่ฝ่าค่ายกลออกมาได้กลับมีเพียงเจ็ดคนเท่านั้น แต่เมื่อเจ็ดคนนี้มารวมอยู่ด้วยกันก็เพียงพอที่จะทำให้คนหวาดผวาแล้ว
ยอดฝีมือในยุทธภพทั้งเจ็ดเมื่อได้เห็นหน้าประมุขเยาว์วัยที่เพิ่งขึ้นรับตำแหน่งของหุบเขาหมื่นบุปผาเป็นครั้งแรก ต่างรู้สึกเหนือความคาดหมายและประหลาดใจเป็นอันมาก เพียงเพราะนางมารผู้นี้ดูแตกต่างจากที่พวกเขานึกภาพเอาไว้อย่างสิ้นเชิง
อูมู่ฉินประมุขคนก่อนของหุบเขาหมื่นบุปผามีเสน่ห์ชวนลุ่มหลงเจืออยู่ในความหมดจดงดงาม แต่ประมุขหุบเขาคนใหม่ผู้นี้กลับคล้ายเด็กสาวที่ไม่แปดเปื้อนละอองฝุ่น กล่าวกันว่านางเพิ่งอายุครบสิบหก ท่วงทีบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ราคี ประหนึ่งเทพธิดาลงมาสู่แดนมนุษย์ ดวงตางามแวววาวคู่นั้นดุจนัยน์ตากวางน้อย ใสกระจ่างสุกสกาว
ใช่แล้ว สะอาด บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไร้ราคี เมื่อเห็นนาง คำบรรยายเหล่านี้ก็ผุดขึ้นมาโดยปริยาย
“นางมารผู้นี้มีรูปโฉมโนมพรรณที่งดงามอยู่หลายส่วนอย่างแท้จริง” ลิ่นชังโยวที่มาจากเมืองตงหู ดวงตารูปดอกท้อเจือรอยยิ้มคู่นั้นมองประเมินรูปโฉมของฝ่ายตรงข้าม ประกายหวานเยิ้มในดวงตาที่กลอกไปมาเพียงพอที่จะทำให้หญิงสาวจำนวนมากต้องสำลักเสน่ห์ตาย
“ในยุทธภพต่างเล่าลือกันว่าประมุขหุบเขาหมื่นบุปผาแต่ละยุคในอดีตล้วนรูปโฉมงดงามดุจมาร” ตันหานเลี่ยที่มาจากทุ่งหญ้าทางตอนใต้มองเด็กสาวผู้นั้น ใบหน้าคล้ายครุ่นคิดอะไรอยู่
“มารหรือ” ลิ่นชังโยวยิ้มพลางมองตันหานเลี่ย น้ำเสียงเจือยั่วเย้า “บนร่างของนางไม่ปรากฏกลิ่นอายมารเลยแม้แต่น้อยนิด ข้ากลับสงสัยว่าพวกเราใช่เข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่”
ตันหานเลี่ยนิ่งคิด จางเสี่ยวเฟิงศิษย์หญิงคนโตของปราสาทเขาปี้เจี้ยนที่อยู่ด้านข้างได้ยินพวกเขาคุยกันก็เอ่ยเสียงไม่อินังขังขอบ “เผยกลิ่นอายมารออกมาให้ปรากฏย่อมเป็นมารชั้นต่ำ พวกที่ไม่เผยกลิ่นอายมารออกมาจึงจะน่ากลัวที่สุด”
ความหมายในคำพูดก็แค่จะบอกว่าอูอีเสวี่ยเป็นนางมารที่ใช้รูปโฉมทำให้ผู้อื่นเคลิบเคลิ้มหูตามัว
ลิ่นชังโยวหันไปมองจางเสี่ยวเฟิง จางเสี่ยวเฟิงผู้นี้ก็เป็นหญิงงามผู้หนึ่ง ทั้งยังเป็นศิษย์คนเก่งที่ประมุขปราสาทเขาปี้เจี้ยนตั้งอกตั้งใจปลูกฝัง ฝีมือกระบี่เลิศล้ำ พูดได้ว่าเพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและความสามารถ
“แม่นางจางรูปโฉมงดงามดุจเทพธิดา ไม่ใช่บุปผาทั่วไปเหล่านี้จะเทียบเคียงได้” ลิ่นชังโยวกล่าวยิ้มๆ
“คุณชายลิ่นชมเกินไปแล้ว” จางเสี่ยวเฟิงกล่าว ภายนอกนางดูไม่สนใจไยดี แต่ความจริงในใจลอบยินดี นางแต่ไรมาก็มองตนสูงส่ง ได้รับการให้ความสำคัญจากอาจารย์ ทั้งมีฝีมือยอดเยี่ยมเหนือใครในหมู่ลูกศิษย์ด้วยกัน จึงเป็นธรรมดาที่จะมีความโอหังอวดดี ตั้งแต่ได้พบอูอีเสวี่ย ในใจก็เกิดการเปรียบเทียบ เสียดายต่อให้นางอำพรางดีเพียงใด ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาลิ่นชังโยวกับตันหานเลี่ยไปได้ พวกเขาพบเห็นคนงามมามาก แยกแยะคนได้เฉียบไวทั้งไม่เผยพิรุธ จางเสี่ยวเฟิงแม้จะรูปงาม แต่ไม่เข้าสายตาพวกเขา ทั้งหยิ่งผยองเพราะความงามของตน ยิ่งทำให้ดูพื้นๆ ธรรมดา
อูอีเสวี่ยมองคนที่จ้องจะเล่นงานนางเหล่านี้ ภายนอกดูสงบนิ่ง ความจริงแล้วในใจหวาดผวายิ่ง อย่าเห็นว่านางมีฐานะเป็นประมุขหุบเขาหมื่นบุปผา ได้ชื่อว่าเป็นนางมารในยุทธภพ ดูเหมือนร้ายกาจยิ่ง ความจริงแล้ววรยุทธ์ของนางสามัญธรรมดา ต่อให้ฝึกฝนไปทั้งชีวิตก็ไม่มีทางเป็นยอดฝีมือในยุทธภพได้
นางเคยถามอาจารย์ด้วยความสงสัย ในหุบเขาคนที่มีพรสวรรค์กว่านางมีอยู่ไม่น้อย เพราะเหตุใดอาจารย์จึงพึงพอใจนางเพียงคนเดียว
คำตอบของอาจารย์คือ…
‘ใครกำหนดว่าต้องมีวรยุทธ์สูงส่งจึงจะเป็นประมุขหุบเขาได้ ในยุทธภพมีพยัคฆ์มังกรที่ซ่อนแฝงกาย ยังจะขาดยอดฝีมืออีกหรือ ทุกสำนักล้วนเลือกคนที่มีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุดมาเป็นเจ้าสำนัก หากข้าอูมู่ฉินต้องการเลือกคนที่รูปโฉมงดงามล่มบ้านล่มเมืองมาเป็นประมุขหุบเขา ยังจะมีอะไรแปลกประหลาด’
ตอนนั้นอูอีเสวี่ยฟังแล้วปากอ้าตาค้าง มองอาจารย์ที่มีท่าทีปีติยินดีภาคภูมิใจอย่างงงงัน
อูมู่ฉินบีบแก้มนวลเนียนของนาง ยิ้มแล้วว่า ‘นางหนูเสวี่ย เจ้าต้องรู้ไว้ ความงามก็เป็นอาวุธอย่างหนึ่ง แม้พื้นฐานวรยุทธ์เจ้าจะไม่ดี แต่กลับมีนิสัยใจคอบริสุทธิ์ดีงาม ไม่ถูกประเพณีนิยมทั่วไปกลืนกลายได้ง่าย พึงรู้ว่าเส้นทางบนโลกนี้น่าหวาดกลัวและอันตราย ทุกแห่งล้วนเป็นอ่างย้อมสี* คนที่สามารถออกจากดินเลนมาได้โดยไม่แปดเปื้อนจึงจะเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ที่อาจารย์พึงพอใจคือความบริสุทธิ์ดีงามของเจ้า ความงามเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น’
ได้รับคำชมจากอาจารย์ย่อมดีใจ อูอีเสวี่ยจึงเผยรอยยิ้มสดใส
อูมู่ฉินกล่าวต่อไป ‘ในโลกนี้หญิงงามมีมากมายนับไม่ถ้วน แต่หญิงงามที่มีสติปัญญากลับมีน้อยมาก ลำพังเรื่องนี้เจ้าก็เหนือกว่าหญิงงามทุกคนในโลกนี้แล้ว เพราะความงามสามารถดึงดูดได้เพียงบุคคลชั้นรอง ทั้งไม่ยาวนาน แต่สติปัญญากลับสามารถดึงดูดบุคคลชั้นหนึ่ง ต้นน้ำลึกย่อมไหลไปได้ยาวไกล นี่จะเป็นอาวุธสำคัญของเจ้าที่จะใช้รับมือกับยุทธภพที่น่าหวาดกลัวและเต็มไปด้วยอันตราย จำไว้ จะต้องรักษาความบริสุทธิ์ดีงามนี้ไว้ตลอดไป อย่าลืมเจตนาเดิม’
คำพูดของอาจารย์ยังก้องอยู่ในหู ตอนนี้อูอีเสวี่ยลอบภาวนาอยู่ในใจ หวังว่าคนเหล่านี้จะเห็นแก่ความงามของนาง ไม่โหดเหี้ยมกับนางจนเกินไป เพิ่งคิดเช่นนี้ พลันได้ยินคนผู้หนึ่งตวาดเสียงดัง…