ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน โฉมงามสองหน้า บทที่ 1
เสียงของนางนุ่มนวลแผ่วเบา กังวานใสชวนฟัง ดุจนกขมิ้นส่งเสียงร้องขับขานอยู่ในหุบเขา คล้ายเห็นคนเหล่านี้เป็นผู้อาวุโสที่ต้องเคารพนบนอบ บอกเล่าเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ทั่วไปให้ฟังด้วยสีหน้าจริงจัง
“ช้าก่อน!” จางเสี่ยวเฟิงยับยั้งนางไม่ให้พูดต่อ เอ่ยเตือนเสียงเฉียบขาด “นางมาร อย่าได้คิดถ่วงเวลา เห็นแก่ที่เจ้ามีเพียงลำพังตัวคนเดียว และเพิ่งขึ้นรับตำแหน่งประมุขหุบเขา ถ้าเจ้ายอมให้จับตัวแต่โดยดี ข้าอาจช่วยขอร้องแทนเจ้าให้ทุกคนเปิดทางรอดให้”
อูอีเสวี่ยถามจางเสี่ยวเฟิงด้วยความฉงน “ข้าไม่เคยทำเรื่องเลวร้าย จะให้ยอมรับผิดอะไร”
“หุบเขาหมื่นบุปผารับตัวผู้กระทำผิดไว้ไม่น้อย เจ้าในฐานะประมุขหุบเขาย่อมต้องแบกรับความรับผิดชอบนี้”
“มีความแค้นย่อมมีต้นเหตุ มีหนี้สินย่อมมีเจ้าหนี้ ผู้เยาว์เพิ่งรับตำแหน่งประมุขหุบเขาได้สามเดือน ไม่รู้อย่างสิ้นเชิงว่าใครคือผู้กระทำผิด อย่าว่าแต่รับตัวคนไว้ คิดจะทำเรื่องเลวร้ายก็ยังไม่ทันเลย”
จางเสี่ยวเฟิงถูกคำพูดของนางทำเอาชะงักอึ้ง ลิ่นชังโยวที่อยู่ด้านข้างกลั้นไม่อยู่หัวเราะพรืดออกมาคำหนึ่ง ครั้งนี้แม้แต่ตันหานเลี่ยก็กำมือขึ้นมาไว้ข้างปาก ปิดบังรอยยิ้มที่ห้ามไม่อยู่ ลิ่นชังโยวเกิดความสนใจในตัวอูอีเสวี่ยขึ้นมาอย่างมาก นางแม้จะอายุน้อย ดูเหมือนอ่อนแอไร้เดียงสา แต่ลักษณะท่าทางในยามพูดไม่รีบไม่ร้อน ไม่ขวยอายไม่เดือดดาล เวลาถูกด่าว่าก็ยังมีท่าทีใสซื่อไร้ความผิด ทำให้คนรู้สึกชื่นชอบอย่างแท้จริง
“พี่หานเลี่ย ข้าเห็นว่าที่อูอีเสวี่ยพูดมีเหตุผลอย่างมาก”
ตันหานเลี่ยปรายตามองเขาแวบหนึ่ง ยกมุมปากยิ้มจางๆ พลางกล่าวหยอกล้อ “อย่างไร คุณชายลิ่น เกิดจิตใจที่จะถนอมพฤกษาอาลัยหยก กับนางขึ้นมาแล้วหรือ”
ลิ่นชังโยวยิ้มจนนัยน์ตารูปดอกท้อคู่นั้นชวนลุ่มหลงยิ่งกว่าเดิม “นางเพิ่งรับตำแหน่งประมุขหุบเขาได้สามเดือน วันนี้เป็นวันที่นางก้าวออกสู่ยุทธภพเป็นวันแรกก็ต้องเผชิญหน้ากับศึกใหญ่เช่นนี้ พวกเราคนมากรังแกนางคนเดียว ดูจะไม่ถูกหลักทำนองคลองธรรม”
เหลยหู่มีความแค้นแน่นอกไม่มีที่ให้ระบาย ได้ยินแล้วก็เอ่ยขึ้น “นั่นกลับไม่แน่ บางครั้งสตรียิ่งงดงามกลับยิ่งชั่วร้าย อย่างอูมู่ฉินประมุขคนก่อน นางไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป เจ้าคิดว่านางจะเลือกผู้สืบทอดตำแหน่งส่งเดชหรือ”
ลิ่นชังโยวเลิกคิ้ว “คำพูดนี้ก็มีเหตุผล”
เหลยหู่แค่นเสียงเย็นชา “ประมุขหุบเขาหมื่นบุปผาแต่ละยุคสมัยล้วนรูปโฉมงดงาม ที่พวกนางดูอ่อนเยาว์เพราะฝึกวรยุทธ์มารไว้ยั่วยวนบุรุษโดยเฉพาะ พวกเจ้าอย่าหลงมัวเมา ปล่อยให้รูปโฉมภายนอกปิดบังตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุบเขาหมื่นบุปผาเป็นภัยต่อผู้คนมานาน ผิดหลักธรรมสวรรค์ไม่อาจให้อภัย!”
ลิ่นชังโยวเพียงแต่ยิ้มๆ ตันหานเลี่ยยังคงเคร่งขรึม เหลยหู่เห็นพวกเขาสองคนไม่ได้โต้แย้งก็เข้าใจว่าพวกเขาเห็นด้วยกับคำพูดของตน จึงรู้สึกกอบกู้หน้ากลับคืนมาได้บ้าง
อูอีเสวี่ยทอดถอนใจ “ผู้อาวุโสเหลย ท่านเข้าใจผิดอีกแล้ว คนในหุบเขาหมื่นบุปผาล้วนเป็นคนดี เพียงแต่นิสัยประหลาด ค่อนข้างทำอะไรตามอำเภอใจตนเอง ถ้าเป็นคนเลวจริง อาจารย์ข้าไม่มีทางรับพวกเขาไว้”
“ฮึ! คำพูดเหลวไหลกล่าวให้น้อยหน่อย เห็นแก่เจ้าที่อายุยังน้อย ทั้งยังเป็นอิสตรี ข้าผู้เฒ่าไม่อยากเป็นผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย จะออมมือให้เจ้าสามสิบกระบวนท่าก็แล้วกัน!”
อูอีเสวี่ยย้อนถาม “ผู้อาวุโสเหลย ท่านพูดเล่นกระมัง พวกท่านคนมากเช่นนี้ร่วมมือกันบุกโจมตีเข้ามา ทั้งไม่ได้แจ้งให้ทราบก่อนก็ลอบโจมตีหุบเขาหมื่นบุปผา นี่ก็เท่ากับผู้ใหญ่รังแกผู้น้อยแล้ว”
คำพูดนี้พอเอ่ยออกมา ครั้งนี้แม้แต่จางเสี่ยวเฟิงก็อดหัวเราะพรืดออกมาไม่ได้
“เจ้า…” เหลยหู่โกรธจนด่าทอขึ้นมาอีกครั้ง กระทั่งท่วงทีของผู้อาวุโสก็ไม่มีแล้ว “สุราคารวะไม่ดื่มจะดื่มสุราทัณฑ์ ข้าจะจับตัวนางหนูหน้าเหม็นผู้นี้เดี๋ยวนี้!” ครั้งนี้ไม่ว่านางจะพูดอะไร เขาก็จะไม่หลงกล!
“ช้าก่อน!”
เหลยหู่กำลังจะเงื้อดาบก็ถูกตวาดห้ามกะทันหัน ฝีเท้าแทบจะสับสน เขาร้องด่าด้วยความเดือดดาล “ใครมาขัดจังหวะข้าอีกแล้ว!”
ทุกคนมองไปทางที่มาของเสียงก็เห็นคนผู้หนึ่งทะยานมาจากกลางอากาศ ทิ้งตัวลงสู่พื้นอย่างไร้สุ้มเสียง เห็นชัดถึงวิชาตัวเบาอันสูงส่ง
อูอีเสวี่ยมองไปยังคนที่แปดที่ฝ่าค่ายกลออกมาได้และควานหารายชื่อจากความทรงจำ เพื่อจะให้นางจดจำรูปโฉมของยอดฝีมือสำนักต่างๆ ในยุทธภพ อาจารย์ได้รวบรวมภาพวาดของคนเหล่านั้นไว้ไม่น้อย แต่กับคนผู้นี้นางเพียงรู้สึกคุ้นหน้า ยามกะทันหันคิดไม่ออกว่าเป็นใคร
นางบอกตนเองว่าไม่เป็นไร ย่อมต้องมีคนเรียกชื่อคนผู้นี้ออกมา
“ใต้เท้าสิง” เหลยหู่พอเห็นอีกฝ่ายก็รีบประสานมือกล่าวทักทาย
ใต้เท้าสิง?
อ้อ…นางนึกออกแล้ว คนผู้นี้ชื่อสิงฟู่อวี่ ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของราชสำนัก ปีที่แล้วได้เลื่อนตำแหน่งเป็นราชองครักษ์ขั้นสาม รับหน้าที่คุ้มกันและปฏิบัติภารกิจให้ฮ่องเต้ ที่แท้กองกำลังทหารของราชสำนักที่ยกมาครั้งนี้ คนแซ่สิงรับหน้าที่บัญชาการทัพ
สิงฟู่อวี่สีหน้าเฉยเมย ไม่เหลือบตามองเหลยหู่แม้แต่แวบเดียว สายตาจับนิ่งอยู่ที่อูอีเสวี่ย
“ข้ารับพระบัญชาจากฮ่องเต้ให้จับกุมนางมารอูอีเสวี่ยพากลับไปรายงานตัวที่เมืองหลวง คนอื่นไม่อาจสอดมือเข้ามาก้าวก่าย”
สำนักในยุทธภพใหญ่โตปานใดก็เทียบกองกำลังทหารนับหมื่นของราชสำนักไม่ได้ เหลยหู่ไม่กล้าเป็นศัตรูกับสิงฟู่อวี่ รีบประสานมือกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ใต้เท้าสิงกล่าวได้ถูกต้อง”
“ฝ่าค่ายกลออกมาไม่ง่าย ใต้เท้าสิงต้องลำบากแล้ว ไยไม่พักผ่อนสักครู่ เรื่องจับคนก็มอบให้เราทำแทนเป็นอย่างไร” ลิ่นชังโยวแย้มยิ้มสง่างาม ความหมายในคำพูดจะบอกว่าเขายอดฝีมือแห่งราชสำนักผู้นี้กระทั่งตีฝ่าค่ายกลยังพ่ายแพ้ให้แก่พวกเขา มาถึงก็คิดจะออกคำสั่ง ที่นี่ไม่ใช่ในราชสำนัก ตนหาได้กลัวเขาไม่
ตันหานเลี่ยที่อยู่ด้านข้างกลับเพียงมองสิงฟู่อวี่แวบหนึ่ง ยังคงนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไร
สิงฟู่อวี่มองลิ่นชังโยว ไม่ใส่ใจในคำหยอกล้อของอีกฝ่าย กลับคลี่ยิ้มหยันจางๆ “ทุกท่านดูสุขสบายเสียจริง คนมากเพียงนี้ไล่จับสตรีเพียงคนเดียว ข้าอยู่ข้างหลังต้องเหน็ดเหนื่อยกับการทอดแหจับปลา รับมือกับผู้คุมกฎทั้งสี่ ลำบากมากทีเดียว”
คำพูดนี้พอเอ่ยออกมา ทุกคนต่างสีหน้าแปรเปลี่ยน ลิ่นชังโยวกับตันหานเลี่ยก็ฟังเข้าใจแล้ว ผู้คุมกฎทั้งสี่เป็นองครักษ์กล้าตายของประมุขหุบเขาหมื่นบุปผา เวลานี้กลับไม่เห็นเงาร่าง พวกเขาหันไปมองอูอีเสวี่ยถึงได้ตระหนักว่าที่นางพูดออกมามากมายเพียงนั้นเป็นวิธีบดบังสายตาให้พวกเขามองข้ามเรื่องนี้ไป พร้อมกันนั้นทุกคนก็เกิดตื่นตัวขึ้นมา ผู้คุมกฎทั้งสี่ไม่อยู่ข้างกายนางมาร หรือจะมีแผนลวง
ไม่รอพวกเขาซักถามสิงฟู่อวี่ก็เอ่ยปากขึ้นก่อน “ฮึ ผู้คุมกฎทั้งสี่หนีไปแล้ว ข้าได้แต่ต้องจับกุมนางมารก่อน ค่อยบีบให้ผู้คุมกฎปรากฏตัวออกมาก็ไม่สาย”